การตัดไม้ทำให้เราสูญเสียป่าไปแล้วตลอดกาล 35% หรือเทียบเท่าขนาดพื้นที่ประเทศไทย 3 เท่า และที่เหลือกำลังถูกคุกคามจากกิจกรรมของมนุษย์ ทำไมป่าแอมะซอนสำคัญกับคนทั้งโลก
อีกหนึ่งเหตุผลที่นักวิทย์เชื่อว่า ทำให้เขตร้อนและเขตอบอุ่นเผชิญกับสภาพอากาศสุดขั้วที่ไม่เหมือนกัน คือการที่เราสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ขนาดใหญ่ไป รายงานใหม่เผยว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 เราได้สูญเสียป่าไปประมาณ 178 ล้านเฮกตาร์ทั่วโลกหรือประมาณ 1,780,000 ตารางกิโลเมตร เทียบเท่ากับประเทศลิเบียหรือเทียบเท่ากับขนาดพื้นที่ประเทศไทย 3 เท่า
แต่นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของพื้นที่ป่าที่หายสาบสูญไปตลอดกาล พื้นที่ป่าที่เหลือรอดอีก 82% กำลังเผชิญหน้ากับผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์อยู่ในขณะนี้ ตามสถิติ ป่าใหญ่ที่หลงเหลือทั่วโลกเหลือเพียงป่าใน 5 ประเทศเท่านั้น คือ บราซิล แคนาดา จีน รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา
ตั้งแต่ปี 2015-2020 มีการตัดไม้ทำลายป่าประมาณ 10 ล้านเฮกตาร์ทั่วโลกในแต่ละปี ป่าไม้ถูกทำลายไปด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น การสร้างพื้นที่เพาะปลูก พื้นที่กินหญ้าสำหรับปศุสัตว์ หรือการขยายเขตเมือง การตัดไม้และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีผลโดยตรงในการรื้อถอนป่าไม้ออกไป
หลังจากยุคน้ำแข็งสิ้นสุดลง เมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว ธารน้ำแข็งก็เริ่มลดลงในบางพื้นที่และป่าสมัยใหม่ก็หยั่งรากลึกและเจริญงอกงามขึ้นมา นักประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อมกล่าวว่า นี่เป็นจุดเริ่มต้นของมนุษย์ในการทำลายป่าเพื่อสนองความต้องการของพวกมนุษย์เอง โดยเฉพาะป่าฝนเขตร้อนเป็นเป้าหมายหลักของการตัดไม้ทำลายป่า นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเตือนว่า หากพื้นที่ที่สำคัญเหล่านี้ถูกทำลายไป โลกทั้งใบจะได้รับผลกระทบหนักแน่นอน
ป่าดงดิบที่กำลังล่มสลาย
เสียงเลื่อยไฟฟ้าและรถกวาดหน้าดินดังไปทั่วผืนป่าแอมะซอน บ่งบอกว่ามันกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำงานอยู่ในป่านั้น คือการพรากชีวิตอีกหลายล้านชีวิตและอนาคตของลูกหลานมนุษย์ไป ที่บราซิล ป่าผืนใหญ่อย่างแอมะซอนที่ถูกขนานนามว่าเป็นปอดของโลกกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก ในปัจจุบัน ป่าแอมะซอนทางตอนใต้ของบราซิลสูญเสียพื้นที่ป่าไปแล้ว 30% และหากการทำลายล้างนี้ยังไม่ถูกยุติลง เราจะสูญเสียป่าทั้งหมด 56% ภายในปี 2050
การหายไปของป่าแอมะซอนกระทบกับคนทั่วโลกอย่างไร
นักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมให้เหตุผลว่า การสูญเสียพื้นที่ป่าแอมะซอนจะส่งผลกระทบทั่วโลกด้วยเหตุผลหลายประการ การสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้นไม้ดึงเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากอากาศ จะช่วยลด (แต่ไม่กำจัด) ก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ต้นไม้ให้การเก็บคาร์บอนในระยะยาว และต้นไม้ที่น้อยลงหมายถึงการกำจัดคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศได้น้อยลง
การตัดไม้ทำลายป่าในแอมะซอนจะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำฝนเช่นกัน ต้นไม้ที่ลดลงจะทำให้ลดปริมาณความชื้นที่สามารถหมุนเวียนจากต้นไม้สู่ชั้นบรรยากาศผ่านกระบวนการที่เรียกว่า การตายระเหย ความชื้นที่ลดลง จริงๆแล้วอาจทำให้ฝนตกหนักและมีฝนมากเกินความจำเป็นและพื้นที่อื่นอาจเผชิญในสิ่งตรงข้าม เช่นปริมาณน้ำฝนลดลง 40% เป็นต้น
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
น้ำแข็งซอมบี้ คืออะไร ? ละลายเร็ว ทำน้ำทะเลสูงขึ้น 10 นิ้ว กระทบคนกว่า 200 ล้าน
หยุดฟาร์มอุตสาหกรรม ช่วยลดภาวะโลกร้อน ต้นตอปัญหาที่ซ่อนในจานอาหาร
เกิดไฟป่าแอมะซอน 3,358 จุดในวันเดียว ทำสถิติตัวเลขสูงสุด ในรอบ 15 ปี
สถิติการตัดไม้ในป่าแอมะซอนของบราซิลแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ดังนั้น นี่อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ปอดของโลก ไม่สามารถดูดซับความชุ่มชื้นจากฝนได้ และไม่สามารถช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนได้เพียงพอให้คนทั้งโลก จึงเกิดปรากฏการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก
การหายไปของพื้นที่ป่าแอมะซอนได้ส่งผลกับมนุษย์เพียงสายพันธุ์เดียวเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสัตว์ป่าและความหลากหลายทางชีวภาพด้วย สัตว์นานาชนิดที่เคยอาศัยอยู่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ก็จะกลายเป็นสัตว์ไร้ที่อยู่อาศัย แม้ว่าบางชนิดจะสามารถปรับตัวได้และมาอาศัยอยู่ในบริเวณที่นักวิทย์เรียกว่า “เศษป่า” ที่อยู่ใกล้กับเขตเมือง แต่มันก็นำมาซึ่งโรคติดเชื้อ และสามารถแพร่เชื้อสู่คนได้ในที่สุด
สิ่งที่ทั่วโลกต้องทำ
การนำมาซึ่งปัญหาเหล่านี้คือมนุษย์ ดังนั้นผู้แก้ไขก็คือมนุษย์ ปัญหาที่พบเจอเหล่านี้จึงเป็นหนึ่งเหตุผลให้ผู้นำโลกต้องพยายามจัดลำดับความสำคัญ และรอเริ่มที่จะสร้างป่าขึ้นมาคืนให้กับธรรมชาติ
มนุษย์โค่นต้นไม้มาหลายพันปีแล้ว ต้นไม้กว่าจะเติบโตใช้เวลาหลาย10ปีกว่าจะโตเป็นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา แต่มนุษย์ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหรือบางครั้งก็เป็นนาทีในการโค่นพวกมันลง และการสร้างป่าใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นได้ภายในไม่กี่ทศวรรษ ดังนั้นทุกประเทศทั่วโลกต้องมุ่นมั่นที่จะเติมเต็มป่าที่สูญหายไปอย่างจริงจังได้แล้ว
ในปี 2011 รัฐบาลเยอรมันได้เปิดตัว Bonn Challenge และเชิญประเทศอื่นๆ ให้สัญญาว่าจะฟื้นฟูพื้นที่เฮกตาร์ที่ถูกทำลายในประเทศของตนภายในปี 2030 โดยรวมแล้ว เป้าหมายคือการฟื้นฟู 350 ล้านเฮกตาร์ทั่วโลก หกสิบเอ็ดประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมด้วย สหรัฐฯ กำลังฟื้นฟูพื้นที่มากกว่า 16 ล้านเฮกตาร์
รายงานจากโครงการริเริ่มระดับโลกอื่น ๆ ไม่ได้มองในแง่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากตัวเลขเหล่านี้ดูเป็นกำลังใจ แผนยุทธศาสตร์ด้านป่าไม้แห่งสหประชาชาติ พ.ศ. 2017-2030 ต้องการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ทั่วโลกร้อยละ 3 นี่จะเทียบเท่ากับการเพิ่มพื้นที่ป่าสองเท่าของขนาดฝรั่งเศส แผนดังกล่าวไม่เป็นไปตามแผน และในขณะที่บางภูมิภาค เช่น ยุโรป เอเชีย และโอเชียเนีย กำลังดำเนินไป อเมริกาใต้ยังคงสูญเสียพื้นที่เฮกตาร์ในแต่ละปีมากกว่าที่จะสร้างใหม่
ในการตอบสนอง สหประชาชาติ (UN) ได้จัดโต๊ะกลมในปี 2021 เพื่อหารือเกี่ยวกับเส้นทางข้างหน้า อามีนา โมฮัมเหม็ด รองเลขาธิการสหประชาชาติ เรียกสถานการณ์นี้ว่าเร่งด่วน จากนั้นให้มุมมองว่าการตัดไม้ทำลายป่ามีความหมายต่อโลกอย่างไร
“...ในแต่ละปี ป่า 10 ล้านเฮกตาร์ถูกทำลาย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใหญ่กว่าสหราชอาณาจักร” เธอกล่าว “หากการสูญเสียป่าเขตร้อนเป็นประเทศหนึ่ง มันจะเป็นแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก”
และในสิ้นปีนี้ เดือนพฤศจิกายน เราจะต้องมาจับตาโต๊ะประชุมต่อไปกับ COP27 ที่จะเทียบเชิญผู้นำทั่วโลกมาหารือในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างตรงไปตรงมา งานนนี้จะจัดขึ้น ณ ประเทศอียิปต์ โปรดติดตามต่อไป
ที่มาข้อมูล
https://www.discovermagazine.com/environment/weve-lost-35-percent-of-forests-in-the-past-300-years