ปัญหาจากภัยน้ำท่วมเป็นความเสี่ยงอันดับแรกของประเทศไทยที่ต้องเผชิญ และเพื่อเป็นการตั้งรับกับสถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ GIS เทคโนโลยีที่นำข้อมูลเชิงพื้นที่ สภาพแวดล้อม มาช่วยในการวิเคราะห์พื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม
ภาพรวมของน้ำท่วมปี 2565 ทำเศรษฐกิจโลกสูญเงินกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ และคาดว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึง 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ ในอีก 30 ปีข้างหน้า หรือในปี 2595 ยิ่งไปกว่านั้น World Economic Forum Global Risk ได้คาดการณ์ความเสี่ยงในอนาคตที่จะเกิดขึ้น 3 อันดับแรก ได้แก่
1. ความล้มเหลวในการจัดการสภาพภูมิอากาศ (Climate action failure)
2. สภาวะสุดขั้วของลมฟ้าอากาศ (Extreme weather)
3. การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity loss)
ซึ่งประเทศไทยมีสัดส่วนประชากรเสี่ยงประสบภัยพิบัติถึง 34% โดยในปีที่ผ่านมาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจมหาวิทยาลัยหอการค้า ได้ประเมินความเสียหายภาพรวมเศรษฐกิจและธุรกิจรวมทั้งสิ้นสูงถึง 1.2 – 2 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบันเกิดความร่วมมือกันระหว่าง บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้าน Location Intelligence การวิเคราะห์ภูมิสารสนเทศในมุมมองใหม่ จากความเชี่ยวชาญในการพัฒนา ArcGIS ซอฟต์แวร์ชั้นนำระดับโลก ร่วมกับ “ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ by MQDC” ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา ที่ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอนาคตของการใช้ชีวิตด้วยเทคโนโลยีคาดการณ์อนาคต ร่วมกันถอดโมเดลการทำงาน “Urban Hazard Studio” สุดยอดฮับข้อมูลสภาพแวดล้อม ซึ่งได้มีการเปิดข้อมูลความเสี่ยงน้ำท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
ในกรณีที่เกิด ‘ฝนร้อยปี’ ภัยน้ำท่วมเป็นความเสี่ยงอันดับแรกของประเทศไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์ในปี 2554 มีมูลค่าความเสียหายกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่ง “Urban Hazard Studio” เป็นกุญแจสู่ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อเตรียมความพร้อมและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น สู่ประโยชน์ทั้งต่อประชาชน สังคม และเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
เนื้อหาที่น่าสนใจ :
รศ.เสรี เตือนช่วงนี้-กลางเดือน Golden Week เร่งระบายน้ำ เตรียมรับมือฝนถล่ม
เปิดบทเรียนความเสียหายแผ่นดินไหวตุรกี-ซีเรีย ทำไมรุนแรง กระทบไทยหรือไม่?
ไทยจะเจอภัยแล้งสุดในปี 2572 หลังจากนี้จะเป็นน้ำท่วมใหญ่ โปรดเตรียมตัว!
ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ผู้อำนวยการบริหาร ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ โดย บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ “ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ” เผยว่า ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษาภายใต้ MQDC ที่สนใจเรื่องของความเป็นอยู่ที่ดี (For all well – being) มองเห็นผลกระทบจากความเสี่ยงภัยพิบัติ เช่น Extreme weather ที่ส่งผลให้ต้องเผชิญกับปริมาณฝน หรือคลื่นความร้อนที่มากขึ้น ซึ่งหากไม่เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือ จะนำมาซึ่งผลกระทบและความสูญเสีย โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจจำนวนมหาศาล เช่น การสูญเสียผลผลิตในภาคการเกษตร คุณภาพสินค้า การส่งออก ด้านความเป็นอยู่ รวมถึงมูลค่าที่ต้องฟื้นฟูหลังจากเกิดภัยต่างๆ
สำหรับการร่วมมือในการพัฒนา Urban Hazard Studio สุดยอดฮับข้อมูลสภาพแวดล้อม จากการนำความสามารถของเทคโนโลยี GIS ของ ESRI ที่สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงพื้นที่ และได้เชิญ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ. ศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และที่ปรึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ มาร่วมให้ความรู้และให้ข้อมูลเชิงลึก โดยมีเป้าหมายในการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ประเมิน และเผยแพร่ เพื่อสร้างความตระหนักต่อประชาชนและสังคม รวมทั้งเพื่อการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ในอนาคตของประเทศต่อไป ด้วยหวังให้ทุกภาคส่วนได้เห็นความสำคัญของการเตรียมพร้อม และร่วมป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้นผ่านแพลตฟอร์ม อีกทั้งต้องการให้เกิดความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยเริ่มต้นทำการศึกษาภัยจากน้ำท่วมบริเวณพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล หากเกิด ‘ฝนร้อยปี’ ที่นับเป็นความเสี่ยงอันดับต้น ๆ ของประเทศ
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ. ศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และที่ปรึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ เปิดเผยว่า จากข้อมูลน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลาง กรุงเทพฯ และปริมณฑล สามารถจัดกลุ่มความเสี่ยงน้ำท่วมได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. น้ำท่วมเมือง (Urban flooding) หรือน้ำท่วมรอการระบาย เกิดจากการที่ฝนตกหนักในเมืองเกินกว่าความสามารถของระบบระบายน้ำ
2. น้ำล้นฝั่งจากแม่น้ำ (River flooding) เกิดจากปริมาณฝนตกหนักเกินความจุลำน้ำ ทำให้หลากล้นฝั่งเข้าท่วมชุมชน เช่น กรณีเหตุการณ์ในปี 2554 , 2564 และ 2565 ที่ผ่านมา
3. น้ำท่วมชายฝั่ง (Coastal flooding) เกิดขึ้นกับชุมชนหรือเมืองริมชายฝั่งทะเล เมื่อต้องเผชิญกับระดับทะเลที่สูงขึ้นอย่างถาวร
น้ำท่วมทั้ง 3 ประเภทมีแนวโน้มของความถี่และความรุนแรงมากขึ้นจากปัจจัยเร่งของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพที่ทำกิน มีการประเมินปริมาณฝนที่ตกหนัก 1 วัน บริเวณพื้นที่กรุงเทพฯ ในอนาคตจะเพิ่มขึ้น 20 - 30% ปริมาณฝน 100 ปี จะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 200 มม./วัน เป็น 250 มม./วัน พร้อมกับจำนวนวันที่ฝนตกหนัก มีโอกาสเพิ่มขึ้น 60 - 80%
ดังนั้นเหตุการณ์น้ำท่วมรอการระบายจึงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน ปริมาณฝนตกสะสม 6 เดือน (พฤษภาคม-ตุลาคม) ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในลุ่มเจ้าพระยามีโอกาสเพิ่มขึ้น 20 - 30% เช่นกัน กล่าวคือ ฝน 100 ปีปัจจุบัน จะกลายเป็นฝน 10 ปีในอนาคต ดังนั้นเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เช่นปี 2554 จึงมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นทุกๆ 10 ปีในอนาคต
สุดท้ายสำหรับน้ำท่วมชายฝั่ง มีการประเมินโดยคณะทำงาน IPCC ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นที่สถานีป้อมพระจุลจอมเกล้า บริเวณปากแม่น้ำประมาณ 0.39 ม. , 0.73 ม. และ 1.68 ม. ในปี 2573 , 2593 และ 2643 ตามลำดับ จะทำให้พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จมน้ำอย่างถาวรหากไม่มีมาตรการรับมือ
นอกจากนี้กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็ต้องบริโภคน้ำประปากร่อยจากน้ำเค็มที่รุกล้ำ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อพืชสวนทุเรียนและกล้วยไม้ใน จ.นนทบุรี และ จ.นครปฐม ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ แผนงานต่อไปในอนาคตมีแผนที่ร่วมมือกันประเมินภัยคุกคามด้านอื่น ๆ ต่อประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง สึนามิ พายุ เป็นต้น เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือให้กับชุมชนต่อไป
นางสาวธนพร ฐิติสวัสดิ์ ประธาน บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า Urban Hazard Studio ที่ใช้ความสามารถจากเทคโนโลยี GIS มีส่วนร่วมอย่างมากในการรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้น รวมถึง Climate Change ด้านอื่น ๆ ที่ทำให้สามารถตรวจวัด วิเคราะห์ และเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับโลก ช่วยขับเคลื่อนการแก้ปัญหาในมุมของ Climate Crisis ต่าง ๆ ใน 3 เรื่องหลัก คือ
ในเรื่องของการประเมินผลกระทบผ่านการสื่อสารด้วยภาพ ทำให้เห็นรูปแบบหรือเหตุที่เกิดชัดเจนขึ้น สามารถใช้ร่วมกับเทคโนโลยีอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความสามารถของการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ได้มากขึ้น เห็นเหตุการณ์ในสถานการณ์ต่างๆ บนสภาพจริงแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถวางแผนรับมือกับปัจจุบันและเตรียมตัวสำหรับอนาคตได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังสามารถรู้จุดเกิดเหตุภัยต่าง ๆ รวมถึงคาดการณ์อนาคต ตลอดจนผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต ทั้งคน สัตว์ และพืช สามารถประเมินความเสียหาย รวมถึงความเสี่ยงในเชิงพื้นที่ หรือใช้เทคโนโลยี GIS Tool วิเคราะห์มูลค่าความเสียหายในเชิงเศรษฐกิจ หัวใจสำคัญคือช่องทางการสื่อสารไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เห็นถึงภาพและผลกระทบ รวมทั้งช่วยตัดสินใจในการหาแนวทางตั้งรับ ซึ่งเทคโนโลยี GIS ตอบโจทย์ในการนำเสนอและสร้างเป็นแอปพลิเคชันที่แชร์ให้กับผู้เกี่ยวข้องเข้ามาดูและใช้งานได้
ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยี GIS เข้าไปช่วยในเรื่อง Climate Change มีให้เห็นอยู่มาก ตัวอย่างเช่น ฟิลิปปินส์ มีความกังวลในเรื่องของ Urban Heat จากข้อมูลด้านการปล่อยพลังงานความร้อนในพื้นที่เมืองที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2 องศา ทางแก้คือการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ซึ่งเทคโนโลยี GIS สามารถช่วยวิเคราะห์และชี้เป้าให้ได้ว่าควรเพิ่มพื้นที่สีเขียวตรงไหน ในรูปแบบใด และสามารถคำนวณได้ว่า เมื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในจุดนั้น ๆ แล้ว จะช่วยลดพลังงานความร้อนลงไปได้มากขึ้นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี GIS ไม่ใช่เพียงแค่การทำแผนที่ แต่จะเป็นเทคโนโลยีและเครื่องมือที่เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาด้าน Climate Change ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่เกี่ยวข้องในทุก ๆ ภาคส่วน ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ESRI และ ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนา Urban Hazard Studio สุดยอดฮับข้อมูลสภาพแวดล้อม ด้วยข้อมูลที่เกี่ยวกับภัยพิบัติจากธรรมชาติอื่น ๆ ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านสึนามิ ฝุ่น PM2.5 ในอนาคตอันใกล้นี้