เทรนด์ keep The World เทรนด์รักษ์สิ่งแวดล้อม กำลังเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง มันคือสิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกันทำให้โลกมันดีขึ้น และวันที่ 14 มกราคมของทุกปี ก็ถือเป็นวันสำคัญของเรื่องป่าไม้ เรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะวันนี้ (14 มกราคม) ถือเป็นวันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ
ความเป็นมาของ วันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ นั้น เกิดขึ้นเมื่อ ปี 2532 โดยคณะรัฐบาล ในยุคสมัยนั้น ได้มีมติสั่งยกเลิกสัมปทานทำไม้ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2532 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องผืนป่าของชาติ และถือเอาวันที่ 14 มกราคมของ ทุกปีเป็น “วันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ”
ทราบหรือไม่ว่า เมื่อปีพ.ศ. 2516 หรือเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้ทั้งหมด 138,566,875 ไร่ หรือคิดเป็น 43.21% ของพื้นที่ประเทศ แต่จากการสำรวจล่าสุดพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทยปี 2563 หรือเมื่อ 3 ปีที่แล้ว พื้นที่ป่า อยู่ที่ 102,353,484.76 ไร่ คิดเป็น 31.64% ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ ซึ่งถือได้ว่า ในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาตัวเลขของพื้นที่ป่าของประเทศไทย ลดลงอย่างน่าใจหายเลยทีเดียว
ดังนั้น เนื่องในโอกาสที่ วันที่ 14 มกราคม 2566 เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งอยากจะเชิญชวนให้ทุกๆคน เริ่มเพิ่มพื้นที่สีเขียว ด้วยการปลูกต้นไม้ให้กับประเทศ หากมีโอกาส เพราะการตัดไม้ทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่า ยังคงเกิดขึ้นในอัตราที่น่าตกใจในทุกวันนี้ ซึ่งก่อให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี พ.ศ 2533 เป็นต้นมา มีการคาดการณ์ว่าป่า 2,625 ล้านไร่ ต้องสูญเสียไปจากการเปลี่ยนไปใช้ประโยชน์ในที่ดินอื่นๆ แม้ว่าอัตราการตัดไม้ทำลายป่าจะลดลงในช่วง 3ทศวรรษที่ผ่านมาก็ตาม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• ความสำคัญของทรัพยากรป่าไม้
ป่าไม้มีประโยชน์มากมายต่อการดำรชีวิตของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนี้
1. ประโยชน์ทางตรงทรัพยากรป่าไม้ (Direct benefits) ได้แก่การนำมาใช้สนองปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์ 4 ประการ ได้แก่
• นำมาสร้างอาคารบ้านเรือนและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์ กระดาษ ไม้ขีดไฟ ฟืน เป็นต้น
•ใช้เป็นอาหาร
• ใช้เส้นใยที่ได้จากเปลือกไม้และเถาวัลย์ มาถักทอเป็นเครื่องนุ่งห่ม เชือก และอื่น ๆ
• ใช้ทำยารักษาโรคต่าง ๆ
2. ประโยชน์ทางอ้อมของทรัพยากรป่าไม้ (Indirect benefits)
• ป่าไม้เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร เพราะต้นไม้จำนวนมากในป่า จะทำให้น้ำฝนที่ตกลงมาค่อย ๆ ซึมซับลงในดิน กลายเป็นน้ำใต้ดินซึ่งจะไหลซึมมาหล่อเลี้ยงให้แม่น้ำลำธารมีน้ำไหลอยู่ตลอดปี
• ป่าไม้ทำให้เกิดความชุมชื้นและควบคุมสภาวะอากาศ ไอน้ำซึ่งเกิดจากการหายใจของพืชจำนวนมากในป่า ทำให้อากาศเหนือป่ามีความชื้นสูง เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงไอน้ำ เหล่านั้นก็จะกลั่นตัวกลายเป็นเมฆแล้วกลายเป็นฝนตกลงมา ทำให้บริเวณที่มีพื้นที่ป่าไม้มีความชุมชื้นอยู่เสมอ ฝนตกต้องตามฤดูกาลและไม่เกิดความแห้งแล้ง
• ป่าไม้เป็นแหล่งพักผ่อนและศึกษาหาความรู้ บริเวณป่าไม้จะมีภูมิประเทศที่ สวยงามจากธรรมชาติรวมทั้งสัตว์ป่าจึงเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจได้ดี นอกจากนั้นป่าไม้ยังเป็นที่รวมของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์จำนวนมาก จึงเป็นแหล่งให้มนุษย์ได้ศึกษาหาความรู้
• ป่าไม้ช่วยบรรเทาความรุนแรงของลมพายุและป้องกันอุทกภัย โดยช่วยลดความเร็วของลมพายุที่พัดผ่านได้ตั้งแต่ 11-44% ตามลักษณะของป่าไม้แต่ละชนิดจึงช่วยให้บ้านเมือง รอดพ้นจากวาตภัยได้ ซึ่งเป็นการป้องกันและควบคุมน้ำตามแม่น้ำไม่ให้สูงขึ้นอย่างมารวดเร็วล้นฝั่งกลายเป็นอุทกภัย
• ป่าไม้ช่วยป้องกันการกัดเซาะและพัดพาหน้าดิน จากน้ำฝนและลมพายุโดยลดแรงปะทะลง การหลุดเลื่อนของดินจึงเกิดขึ้นน้อย และยังเป็นการช่วยให้แม่น้ำลำธารต่าง ๆ ไม่ ตื้นเขินขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ป่าไม้จะเป็นเสมือนเครื่องกีดขวางตามธรรมชาติ จึงนับว่ามีประโยชน์ในทางยุทธศาสตร์ด้วยเช่นกัน
• ช่วยให้เกิดวัฎจักรของน้ำ (Water Cycling) วัฎจักรของออกซิเจน วัฎจักรของคาร์บอน และวัฎจักรของไนโตรเจน ในเขตนิเวศ(Ecosphere)
• ช่วยดูดซับมลพิษของอากาศ
ที่มา rmuti.ac.th