อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา เป็นการหักเหลี่ยมเฉือนคมที่ว่ากันว่า เป็นศึกของคนกันเอง ที่สู้กันมันหยดจนถึงวินาทีสุดท้าย ก่อนบิ๊กตู่พลิกเกมได้อยู่ต่อ
จบไปแล้วสำหรับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ผลพ่วงที่ตามมา ก็คาดว่าจะสั่นสะเทือนวงการการเมืองไทยไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะรอยร้าวระหว่างบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
เป็นการหักเหลี่ยมเฉือนคม ที่เกมพลิกไปพลิกมา โดยช็อตต่อไปที่ต้องจับตา นั่นก็คือจะส่งผลกระทบไปยังการโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ในวันที่ 10 กันยายนนี้ หรือไม่ ?
โดดเดี่ยวบิ๊กตู่
ก่อนศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเริ่มขึ้น ประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย ถูกยกให้เป็นตัวแปรสำคัญ ที่อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสภา
แต่พอการอภิปรายฯ ดำเนินไป ไฮไลต์กลับไปอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐ และภาพก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นว่า งานนี้เป็นการหักเหลี่ยมเฉือนคมของคนกันเอง ซึ่งบรรยากาศในสภา น่าจะสร้างความเหน็บหนาวให้บิ๊กตู่ไม่ใช่น้อย
เพราะแทบไม่มี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ทำหน้าที่ประท้วงตัดเกมให้ดังการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านๆ มา และนี่น่าจะเป็นการตอกย้ำกระแสข่าวที่ว่า มีความพยายามโค่นบิ๊กตู่ผ่านการโหวตไม่ไว้วางใจ โดยการวางหมากของใครบางคน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สุทิน คลังแสง : รัฐบาลต้องยอมรับความจริง ! ประชาชนมีมติไม่ไว้วางใจ
ศึกอภิปรายฯ ได้แค่ขยี้แผล ! จับตา ถ้าครบเงื่อนไข 3 ข้อ อาจยุบสภาภายในปีนี้
การแก้เกมของบิ๊กตู่
ดูตามรูปเกมแล้ว ช่วงแรกๆ ฝ่ายที่ต้องการโค่นบิ๊กตู่มีแต้มเป็นต่อกว่ามาก และหากไม่ดำเนินการใดๆ โอกาสที่บิ๊กตู่จะถูกสอยคาสภา ก็มีสูงลิ่ว
แต่ตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกมเริ่มพลิก นั่นก็คือการย้ายข้างของนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง จากกลุ่ม 4 ช. ที่มี ร.อ.ธรรมนัส เป็นแกนนำ มาอยู่ข้างบิ๊กตู่
เพราะนอกจากจะได้สรรพกำลังเพิ่มแล้ว ยังเท่ากับตัดกำลังในฝั่งของ ร.อ.ธรรมนัส ไปในตัว รวมถึงได้ข้อมูลต่างๆ อีกเพียบ ฉะนั้นแล้วการเข้าพบบิ๊กป้อม และแกนนำของพรรคพลังประชารัฐ ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ ก่อนการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจ 1 วัน บิ๊กตู่จึงไม่ได้เข้าไปแบบมือเปล่าๆ
เกมพลิก บิ๊กตู่ได้ไปต่อ
ในการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้พวกอาจจะน้อยกว่า แต่บิ๊กตู่ก็มีไพ่ใบสุดท้ายในมืออยู่ นั่นก็คือยุบสภา ซึ่งตรงนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฝั่งตรงข้ามต้องคิดหนัก หากไม่ต้องการให้เกิดการเลือกตั้งใหม่ในช่วงที่ตัวเองยังไม่พร้อม ฉะนั้นเกมที่วางไว้น่าจะเพื่อกดดันให้บิ๊กตู่ต้องยอมลาออกซะมากกว่า
แต่เมื่อท่าทีของบิ๊กตู่ คือพร้อมจะสู้ ประกอบกับผู้มากบารมีอย่างบิ๊กป้อม ที่ทั้งสองฝั่งเคารพรัก อาจส่งสัญญาณให้ถอย การเจรจาจึงจบลงตรงที่บิ๊กตู่ได้อยู่ต่อ
เมื่อเกมพลิกมาในรูปแบบนี้ ธรรมนัสกับพวกก็อยู่ยาก เพราะหลังศึกอภิปรายฯ ผ่านพ้นไป เกมจะกลับมาอยู่ในมือบิ๊กตู่แบบเต็มๆ
สิ่งที่ต้องจับตา โหวตแก้รัฐธรรมนูญวาระที่ 3
ช็อตแรกที่ใกล้ที่สุด ก็คือการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระที่ 3 ในการเปลี่ยนบัตรเลือกตั้งจาก 1 ใบ เป็น 2 ใบ ที่ตอนแรกคาดว่าน่าจะผ่านไปได้อย่างฉลุย เพราะฝั่งพลังประชารัฐ ออกโรงเป็นตัวตั้งตัวตี
แต่การเปลี่ยนระบบบัตรเลือกตั้ง เป็นเกมที่ว่ากันว่า ร.อ.ธรรมนัส ในฐานะเลขาธิการพรรค ได้ปูทางไว้ เพื่อให้พลังประชารัฐ ยังคงเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หลังศึกเลือกตั้งครั้งต่อไป
แต่เมื่อสถานการณ์พลิกผัน และเกมนี้มีเงื่อนไขว่า ส.ว. 1 ใน 3 หรือประมาณ 84 คนขึ้นไป ต้องโหวตให้ด้วย ประกอบกับบิ๊กตู่ก็ไม่ได้มีท่าทีชื่นชอบแนวทางนี้นัก เพราะมีความเสี่ยงสูง ที่อาจเข้าทางพรรคเพื่อไทย ให้สร้างปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ ขน ส.ส. เข้าสภาเกินกว่าครึ่ง
ญัตติการแก้รัฐธรรมนูญ เปลี่ยนระบบบัตรเลือกตั้ง ที่คาดว่าผ่านฉลุย ชั่วโมงนี้... ก็ไม่แน่ซะแล้ว
การปรับ ครม.
เกมระหว่างทั้งสองยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะคาดว่า หลังจากโหวตแก้รัฐธรรมนูญ สิ่งที่จะตามมาในระยะเวลาอันใกล้ ก็คือการปรับ ครม.
ซึ่งคาดว่า สันติ พร้อมพัฒน์ จะได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการในกระทรวงเกรดเอ สักที แต่ฝั่ง 4 ช. นี่ซิ ที่ตอนนี้เหลือ 3 ช. ได้แก่ ร.อ.ธรรมนัส , วิรัช รัตนเศรษฐ และ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อาจจะอยู่ยาก ด้วยโทษฐานทำให้บิ๊กตู่ตกที่นั่งลำบาก
ศึกครั้งนี้ ที่บิ๊กตู่สามารถพลิกสถานการณ์จากที่เพลี้ยพล้ำ กลายเป็นได้ไปต่อ (แม้คะแนนโหวตรองบ๊วย) ก็สะท้อนให้เห็นถึงวิทยายุทธ์ทางการเมืองที่แกร่งกล้าขึ้น
ส่วนวิทยายุทธ์ในการบริหารประเทศ ก็อย่างที่เราเห็นๆ ฉะนั้นแล้วไม่ว่าใครจะแพ้ ใครจะชนะ หากไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ประชาชนตาดำๆ ก็คงต้องทนชอกช้ำ และเจ็บปวดกันต่อไป