สถิติและการวิเคราะห์ทั่วโลกพบว่าเพิ่มขึ้นของการใช้โทรศัพท์หรือการติดหน้าจอเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในกลุ่มอายุ 6-10 ปี หรือเด็กปฐมวัย ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กเล็กที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ช่วงการระบาดใหญ่โควิด-19 ทำให้เด็กปฐมวัยหรือ 6-10 ปี ติดจอโทรศัพท์มือถือ ทีวี หรือคอมพิวเตอร์โดยผลศึกษาได้เผยว่าเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 1 ชั่วโมง 20 นาที ต่อวัน
ผลการวิจัยได้กระตุ้นให้มีการดำเนินการเพื่อควบคุมผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของเด็กหลายล้านคนทั่วโลก
มหาวิทยาลัย Anglia Ruskin ซึ่งเป็นผู้นำการวิเคราะห์การศึกษาทั่วโลกได้เผยข้อมูลว่า จากการศึกษาพบว่ามีการใช้สมาร์ทโฟนหรือการติดหน้าจอเมื่อเวลาว่าง ได้มีอัตราเพิ่มขึ้นในทุกวัย แต่ “เด็กปฐมวัยมีการเพิ่มขึ้นมากที่สุด รองลงมาคือผู้ใหญ่ วัยรุ่น และเด็กเล็ก
การที่เด็กอยู่กับหน้าจอนานขึ้น นั้นส่งผลกับการรับประทานอาหารที่ไม่ดีหรือไม่ถูกหลักสุขภาพ และยังส่งผลให้เด็กมีสุขภาพตาที่ไม่ดี หรือสุขภาพจิตที่แย่ลง เช่น มีความวิตกกังวล และปัญหาด้านพฤติกรรม ต่างๆเช่น ความก้าวร้าว ความหงุดหงิด และอารมณ์ฉุนเฉียวบ่อยครั้งขึ้น
การติดหน้าจอที่เพิ่มขึ้นในช่วงการระบาด COVID-19
เด็กประถม (อายุ 6-10 ปี) เพิ่มขึ้น 83 นาทีต่อวัน
ผู้ใหญ่ เพิ่มขึ้น 58 นาทีต่อวัน
วัยรุ่น (อายุ 11 ถึง 17 ปี) เพิ่มขึ้น 55 นาทีต่อวัน
เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เพิ่มขึ้น 35 นาทีต่อวัน
ที่มา : aru.ac.uk
โดยผลวิจัยนี้มีการวิเคราะห์จากการศึกษา 89 ชิ้นจากประเทศต่างๆ รวมทั้งสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส ชิลี และอิสราเอล ครอบคลุมขนาดกลุ่มตัวอย่างรวมกว่า 200,000 คน
นอกจากผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อเด็กแล้ว การวิจัยยังระบุถึงความเชื่อมโยงระหว่างเวลาหน้าจอที่มากขึ้นกับผลลัพธ์เชิงลบสำหรับผู้ใหญ่ ซึ่งรวมถึงผลกระทบด้านอาหาร สุขภาพดวงตา และสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวล ซึมเศร้า และความเหงา และสุขภาพทั่วไป รวมทั้งความเหนื่อยล้า การออกกำลังกายที่ลดลง และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
เนื่องจากทั่วโลกกำลังมีเวลาเพิ่มมากขึ้นจากการกักตัวหรือ Work From Home อยู่ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือมีเวลาว่างในการติดอยู่กับหน้าจออาจส่งผลเสียกับทุกเพศทุกวัย แต่ที่น่าจะเป็นห่วงคือสถิติที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ใช่วัยผู้ใหญ่ แต่เป็นเด็กปฐมวัยที่มีอายุเพียง 6-10 ปี และเด็กเหล่านี้ต้องการการดูแลสุขภาพและควบคุมพฤติกรรมเพื่อการพัฒนาที่ดีในวัยนี้ พ่อแม่หรือผู้ปกครองควรคำนึงถึงสถิติเหล่านี้และทำความเข้าใจในปัญหานี้เพิ่มขึ้นอย่างจริงจัง