นักวิเคราะห์ ก.ล.ต. พบ เม่าไทย 5 เดือน ขาดทุนเหรียญ LUNA ถึง 980 ล้านบาท ส่วนใหญ่หวังรวยเร็ว เก็งกำไรระยะสั้น ช้อนซื้อช่วงขาลง
นายพงศธร ปริญญาวุฒิชัย ฝ่ายวิจัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า ในปีที่ผ่านมานั้น Luna เหรียญประจำเครือข่าย Terra ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่า 16,674% และมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ราคาของเหรียญ Luna ปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดในเดือนเมษายน 2565
แต่หลังจากที่เหรียญ UST(TerraClassicUSD) ซึ่งเป็นเหรียญ Stablecoin(เหรียญมั่นคงที่จะผูกมูลค่าให้ใกล้เคียงกับเงินจริงๆ) ประจำเครือข่ายของ Terra โดยมีเหรียญ Luna หนุนหลังผ่านกลไก algorithmic ที่ผู้พัฒนาเหรียญกำหนดให้ผูก (Peg) กับดอลลาร์สหรัฐ นั้นไม่สามารถคงมูลค่าที่อัตรา 1 เหรียญ UST ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐเอาไว้ได้ จึงทำให้เกิดการสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้ที่ถือเหรียญและผู้ซื้อขายส่งผลให้เกิดการเทขายเหรียญ UST ออกมาอย่างต่อเนื่องจนกระทบต่อมูลค่าเหรียญ Luna ตามไปด้วย
ทางผู้วิจัยได้ทำการแบ่งช่วงเวลาของข้อมูลที่ใช้ในการศึกษา (1 มกราคม 2565 – 22 พฤษภาคม 2565) โดยใช้ช่วงเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อราคาของ Luna เป็นตัวแบ่ง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วง
อ่านเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
โดยเมื่อดูภาพรวมของบัญชีที่เข้ามาซื้อขายในปี 2565 นั้นมีอยู่ทั้งหมด 315,077 บัญชี โดยมีสัดส่วนเป็นบัญชีผู้ลงทุนในประเทศประมาณ 99% และผู้ลงทุนประเภทอื่น ๆ อีก 1% ซึ่งจำนวนบัญชีส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อขายนั้นมีขนาดพอร์ตอยู่ในช่วง 5,000 – 1,000,000 บาท และแบ่งจำนวนบัญชีตามช่วงเวลาที่ทำการศึกษาได้ดังนี้
จากข้อมูลจำนวนบัญชีที่เข้ามาซื้อขาย Luna ทั้งหมดพบว่ามีบัญชีจำนวน 211,723 บัญชี โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 67% ที่มีประสบการณ์ซื้อขายเหรียญประเภทอื่นมาก่อน แต่ยังไม่เคยซื้อ Luna และเพิ่งเริ่มเข้ามาซื้อขายในช่วง Bottom out รวมถึงมีกลุ่มบัญชีที่เข้ามาเพื่อเก็งกำไรในเหรียญ Luna เพียงอย่างเดียวอยู่ที่ 9,658 บัญชี โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3%
รู้ว่าเสี่ยงแต่ทำไมคนถึงยังเข้าไปซื้ออยู่
อย่างไรก็ดี เมื่อมองภาพรวมของผู้ซื้อขายใน Luna พบว่ามีผลตอบแทนที่ขาดทุนโดยคิดเป็น 96% โดยพบว่า จำนวนบัญชีส่วนใหญ่ที่ขาดทุนนั้นจะเป็นบัญชีที่เพิ่งเริ่มเข้ามาซื้อขายในช่วง Bottom-out
คนไทย 5 เดือน ขาดทุนจากเหรียญ LUNA อย่างเดียว 980 ล้าน
เมื่อสรุปผลกำไร/ขาดทุนของบัญชีของผู้ซื้อขายแต่ละกลุ่มการศึกษาในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลประเทศไทย พบว่ามีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ประมาณ 980 ล้านบาท ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่เป็นบัญชีประเภทบุคคลในประเทศ โดยบัญชีที่เข้ามาในช่วง Fall นั้นจะเป็นกลุ่มบัญชีที่มีผลลัพธ์ของการขาดทุนมากที่สุด
จากบทศึกษานี้จะเห็นได้ว่าผู้ซื้อขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีเป้าหมายเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น รวมถึงมีการลงทุนตามกระแส และให้ความสนใจกับตัวเลขผลตอบแทนที่สูงเป็นหลัก โดยพร้อมที่จะยอมรับผลขาดทุนเพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้กำไรสูงมากในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งในบางครั้งอาจขาดการกระจายการลงทุน และประเมินถึงความเสี่ยงที่จะได้รับ
ทั้งนี้ ผลลัพธ์ของบทศึกษานี้จะช่วยสะท้อนให้เห็นผลกำไรขาดทุนของผู้ซื้อขายในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้ตระหนักถึงการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเข้ามาซื้อขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยโอกาสในการทำกำไรที่เกิดขึ้นจริงอาจไม่ได้มีมากดังที่คาดหวังไว้ นอกจากนี้ด้วยลักษณะของสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความผันผวนของราคาที่สูง ดังนั้นเงินที่นำมาลงทุนไม่ควรมาจากการกู้ยืมหรือเป็นเงินที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และหากสูญเสียเงินส่วนนี้ไปแล้วจะต้องไม่เป็นภาระต่อตัวเองและครอบครัว
อย่างไรก็ตาม ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของ นายพงศธร ปริญญาวุฒิชัย ฝ่ายวิจัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์