Apple เร่งขน iPhone 5 ลำ จากอินเดียสู่สหรัฐฯ หวั่นกำแพงภาษีพุ่ง

สำนักข่าวหลายแห่งรายงานความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของ Apple โดยระบุว่าบริษัทได้ดำเนินการขนส่ง iPhone และสินค้าอื่น ๆ จำนวนมากเป็นพิเศษจากฐานการผลิตในเอเชียไปยังสหรัฐอเมริกาอย่างเร่งด่วน

ตัวแทนหน่วยงานในอินเดีย ระบุว่าในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม 2025 ที่ผ่านมา Apple ได้ใช้เครื่องบินขนส่งสินค้าเช่าเหมาลำถึง 5 ลำ เพื่อขนส่ง iPhone ที่ผลิตในอินเดียเป็นหลัก พร้อมด้วยสินค้าอื่น ๆ ไปยังสหรัฐฯ

โดยปฏิบัติการทั้งหมดเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาเพียง 3 วัน ซึ่งถือเป็นปริมาณการขนส่งทางอากาศที่สูงกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญสำหรับช่วงเวลาดังกล่าว

นอกจากนี้ ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า Apple ได้เร่งการขนส่งสินค้าออกจากฐานการผลิตในจีนในช่วงเวลาเดียวกันด้วย ซึ่งเป็นเรื่องน่าสังเกตเนื่องจากเดือนมีนาคมมักไม่ใช่ช่วงที่มีความต้องการสินค้าสูง

แรงจูงใจเบื้องหลังการเคลื่อนไหวอย่างเร่งด่วนครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นการเตรียมความพร้อมและบริหารความเสี่ยงของ Apple เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าในสหรัฐอเมริกา

มีการคาดการณ์ว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐฯ อาจนำไปสู่การปรับขึ้นกำแพงภาษีศุลกากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าที่ผลิตในจีน (ซึ่งเคยมีการกล่าวถึงตัวเลขสูงถึง 60%) และอาจรวมถึงสินค้าจากทั่วโลก (ราว 10%)

การเร่งนำเข้า iPhone โดยเฉพาะจากอินเดีย ซึ่งเป็นฐานการผลิตที่ Apple กำลังให้ความสำคัญมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบด้านภาษีน้อยกว่าจีนในบางสถานการณ์ รวมถึงการสต็อกสินค้าจากจีนไว้ล่วงหน้า จึงเป็นการดำเนินการเชิงรุกเพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุนและสร้างความมั่นคงในการจัดจำหน่ายสินค้าในตลาดสหรัฐฯ

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้เคยมีรายงานข่าวที่ระบุถึงเหตุการณ์ลักษณะคล้ายกันนี้ว่าเกิดขึ้นในช่วงก่อนคริสต์มาสปี 2024 อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดที่ระบุช่วงเวลาเป็นปลายเดือนมีนาคม 2025 ดูจะสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและการเตรียมความพร้อมในระยะสั้นมากกว่า

ปัจจุบัน อินเดียถือเป็นฐานการผลิตสำคัญของ Apple นอกประเทศจีน โดยเฉพาะสำหรับ iPhone และ AirPods ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานของบริษัท ทั้งนี้ Apple ยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นทางการ

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ Apple จึงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงการเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับการบริหารจัดการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลกต่อไป

ที่มา : Timesofindia