SHORT CUT
การมาของ DeepSeek AI น้องใหม่มาเเรงของจีน กำลังถูกจับตามอง "ดร.สันติธาร เสถียรไทย" ชี้ให้เห็นถึง 5 ประเด็นสำคัญว่า DeepSeek อาจเปลี่ยนโลกได้อย่างไร
ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักยุทธศาสตร์แห่งอนาคต อดีตผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีและภาคการเงินระดับโลก และนักคิดนักเขียน กล่าวถึงการผงาดขึ้นมาของ DeepSeek เอไอของจีนที่เป็นกำลังเป็นประเด็นร้อนแรงไว้อย่างน่าสนใจ
โดยระบุว่า ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนทั่วโลก แต่ยังมาจังหวะที่สหรัฐฯเปลี่ยนรัฐบาลพอดี เสมือนเป็นการ ‘สะบัดหาง’ ครั้งสำคัญของปีงูเล็กเลยกว่าว่าได้และอาจมีผลกระทบในวงกว้างอีกด้วย เขามองว่าปรากฏการณ์นี้น่าจะเปิดอย่างน้อย 5 ประเด็นสำคัญที่สามารถเปลี่ยนโลกได้
การมาของ DeepSeek ถูกตั้งคำถามว่าเทคโนโลยีเอไอของอเมริกายังนำโลกอยู่จริงหรือไม่ หรือจีนสามารถวิ่งไล่ตามได้แล้ว แม้จะไม่ได้เข้าถึงชิปคุณภาพสูงสุดที่โดนกีดกันจากสหรัฐฯและพันธมิตร
เขาตั้งคำถามว่า หากเป็นจริง ตามตัวเลขการทดสอบความสามารถ AI ต่างๆที่ออกมา ต่อไปสหรัฐฯจะตอบโต้อย่างไร รวมทั้งจะเพิ่มความเข้มข้นของสงครามการค้า-เทคโนโลยีเพื่อให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ได้ยากขึ้นไปอีกหรือไม่ หรือจะทุ่มทุนยิ่งกว่าเดิมสร้างกับโครงการเอไอขนาดยักษ์อย่าง Stargate ที่มูลค่าที่ประกาศเกือบเท่าเศรษฐกิจไทยทั้งประเทศ
"ในทางกลับกันก็มีคนบอกว่าเพราะไปจำกัดการเข้าถึงชิปของจีนเลยทำให้เขาต้องคิดค้นวิธีใหม่ที่สร้างเอไอได้ประหยัดกว่าเดิม ทำกันดารกลายเป็นสินทรัพย์"
ความสิ้นเปลืองทรัพยากร การที่ Deepseek ใช้เงินในการพัฒนาเอไอน้อยกว่า บริษัทเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงของสหรัฐ และ ใช้ชิปที่ไม่ได้ทรงพลังเท่า ทำให้เกิดคำถามสำคัญในหมู่นักลงทุนและบริษัทเทคฯถึงความคุ้มค่าในการลงทุนหลายพันล้านเพื่อให้ได้ชิปที่ทรงพลังที่สุด
สรุปจ่ายไปเพื่อซื้อเนื้อหรือไขมันกันแน่หรือว่าเงินอาจจะไม่ใช้มากขนาดนั้นชิปอาจจะไม่ต้องทรงพลังขนาดนั้นพลังงานก็อาจจะไม่ต้องใช้หนักขนาดนั้น นี่จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นวงการเทคฯและอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องตื่นตระหนกตกใจพานิคร่วงกันเป็นแถวเมื่อวานนี้
คนส่วนใหญ่อาจมองสงคราม AI เป็นระหว่างสหรัฐฯกับจีน แต่สำหรับคนในวงการเทคโนโลยีที่คุกรุ่นมานานคือระหว่าง โมเดลแบบเปิด (Open source) ที่เสมือนเปิด สูตรลับให้คนอื่นสามารถเอาไปศึกษา ใช้พัฒนาต่อยอดได้กับโมเดลแบบปิดที่ไม่ได้เปิดข้อมูลเหล่านี้ เช่น ChatGPT
Deepseek คือเป็นแบบเปิด จึงทำให้เกิดคำถามว่าโมเดลแบบเปิดนี้มันเจ๋งจนไล่กวดโมเดลแบบปิดที่ซ่อนสูตรลับของตัวเองแล้วหรือ นึกภาพหากร้านอาหารอร่อยมากๆเปิดสูตรให้คนเอาไปทำที่บ้านแล้วทำออกมามันอร่อยไม่แพ้ร้านแพงๆที่เก็บสูตรเป็นความลับ ต่อไปใครจะอยากไปจ่ายแพงเพื่อกินที่ร้าน
ดร.สันติธาร ยังระบุว่า ยังมีคำถามต่อไปอีกว่า DeepSeek จะยังเปิดสูตรต่อไปหรือไม่ หรือจะปิด และเก็บค่าใช้ที่ราคาสูงหรือจะมีการเอาข้อมูลของ User ไปใช้อย่างไรเนื่องจากบางคนก็ห่วงเรื่อง Data Governance
Deepseek ใช้เวลาแค่ 2 เดือนกว่าเท่านั้นในการพัฒนา AI ที่มีความสามารถใกล้เคียงกับโมเดลรุ่นใหม่ ของ OpenAI โดยใช้โมเดลของ OpenAI ช่วยสอนโมเดลของตนเองด้วย เสมือน OpenAI เป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกกว่าจะบรรลุเคล็ดวิชาใหม่
แต่พอนักเรียนมาเลียนหรือเรียนต่อแป๊บเดียวสามารถได้วิชาระดับเดียวกันมาได้ (ภาษานักลงทุนคือ Moat หรือคูเมืองป้องกันปราสาทเรา มันไม่ได้ข้ามยากเท่าที่คิด) จึงทำให้เกิดคำถามว่าวงการเอไอนี่ผู้นำได้เปรียบมากจริงไหม หากผู้ตามสามารถตามได้เร็วขนาดนี้และยังทำได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก แบบนี้มันยังคุ้มที่จะลงทุนพัฒนาเพื่อเป็นผู้นำ บรรลุเคล็ดวิชาใหม่ๆ‘ไหม เพราะผู้นำด้านเอไออาจถูกดิสรัปง่ายกว่าที่คิด
ในมุมผู้พัฒนาและลงทุนกับเอไอ คำถามเหล่านี้อาจทำให้ขนหัวลุก แต่ในมุมของผู้ใช้ พัฒนาการนี้ก็อาจมองในมุมบวกได้เช่นกัน ต้นทุนพัฒนาเอไอถูกลงทำให้ค่าบริการถูกลง คนเข้าถึงได้มากขึ้น เอไออาจสามารถใช้ทรัพยากรและพลังงานน้อยลง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมขึ้น โมเดลแบบเปิดอาจทำให้คนเก่งทั่วโลก สามารถศึกษาและเอาไปพัฒนาต่อยอดได้ สร้างเอไอที่ตอบโจทย์และเหมาะกับบริบทของสังคมตนเอง
การพัฒนาเอไออาจมีการแข่งขันมากขึ้น Generative AI กลายเป็นเทคโนโลยีโหลๆขึ้น ผลักดันให้หลายเจ้าอาจต้องหามุมการพัฒนาผลิตภัณฑ์แนวอื่นมากขึ้น คิดเรื่องแอพพลิเคชันมากขึ้น ไม่ใช่ทุ่มเงินสร้างมันสมองที่ฉลาดอย่างเดียว จึงอาจทำให้เกิดนวัตกรรมที่หลากหลายขึ้น
เขาให้ความเห็นอีกว่า ในทางกลับกันการที่แต่ละประเทศต่างแข่งกันสร้างสุดยอดเอไออาจทำให้ต่างลดความสำคัญด้านการกำกับดูแลความเสี่ยง ทำให้ยิ่งมีโอกาสเกิดเอไอแบบอันตรายต่อสังคมขึ้นหรือไม่
แน่นอนว่าเรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ DeepSeek อีกมากและก็เป็นไปได้ว่าต่อไปอาจมีการหักมุมจากผู้เล่นอื่นอีกที่ไม่ใช่ DeepSeek เลยก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยก็คิดว่า 5 ประเด็นนี้คือคำถามที่เราควรตั้งและช่วยกันติดตามอย่างใกล้ชิดกับเทคโนโลยีที่มีโอกาสเปลี่ยนโลกและกระทบเราทุกคนในอนาคต
ที่มา : Thansettakij