SHORT CUT
การ์ทเนอร์ประกาศ 10 อันดับเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่องค์กรต้องจับตาในปี 2568 ครอบคลุมความจำเป็นและความเสี่ยง AI รวมถึงการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์
ปี 2568 ทุกอย่างรอบตัวเราจะเต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้ง AI ที่ช่วยคุณวางแผนชีวิตตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงระหว่างที่กำลังหลับสนิท หรือหุ่นยนต์ที่ทำงานร่วมกับคุณอย่างไร้รอยต่อ ,ระบบความปลอดภัยที่คอยคัดกรองข้อมูลเท็จได้แบบเรียลไทม์ โลกอนาคตนี้ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม
ยีน อัลวาเรซ รองประธานอาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า "ปีนี้แนวโน้มเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ครอบคลุมความจำเป็นและความเสี่ยง AI, ขอบเขตใหม่ของการประมวลผล และการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร ซึ่งการติดตามแนวโน้มเหล่านี้ช่วยให้ผู้นำไอทีสามารถกำหนดอนาคตองค์กรด้วยการนำนวัตกรรมมาปรับใช้อย่างมีความรับผิดชอบและมีจริยธรรม"
ลองจินตนาการว่าคุณมี “ทีมผู้ช่วย AI” หรือ Agentic AI ที่สามารถวางแผนและตัดสินใจแทนคุณในงานประจำวันได้ Agentic AI เป็นเหมือนทีมงานอัตโนมัติที่ช่วยแบ่งเบาภาระและเพิ่มประสิทธิภาพงานของคุณ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในปี 2571 จะมีองค์กรถึง 15% ที่ใช้งานเทคโนโลยีนี้ในการตัดสินใจประจำวัน เพิ่มขึ้นจากเดิม 0% ในปี 2567 มันไม่เพียงแค่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน Agentic AI มีศักยภาพช่วยให้ผู้บริหาร CIO สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ทั่วทั้งองค์กรในรูปแบบที่มั่นคง ปลอดภัย และเชื่อถือได้
เทคโนโลยีที่ทรงพลังอย่าง AI ต้องถูกใช้อย่างมีความรับผิดชอบ นี่คือหน้าที่ของ AI Governance Platforms แพลตฟอร์มการกำกับดูแล AI ซึ่งช่วยกำหนดกฎเกณฑ์ ตรวจสอบความโปร่งใส และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับระบบ AI การ์ทเนอร์คาดว่าในปี 2571 องค์กรที่ใช้แพลตฟอร์มนี้อย่างครอบคลุมจะเจอสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับธรรมมาภิบาลด้าน AI น้อยลง 40% เทียบกับองค์กรที่ไม่มีระบบดังกล่าว
ข้อมูลเท็จกำลังเป็นภัยคุกคามที่สำคัญในยุคนี้ เทคโนโลยี Disinformation Security หรือความปลอดภัยข้อมูลเท็จ จะทำให้เราสามารถตรวจสอบและคัดกรองข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ รวมถึงป้องกันการแอบอ้างตัวตน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในปี 2571 องค์กรถึง 50% จะเริ่มใช้ระบบที่ออกแบบมาเพื่อจัดการข้อมูลเท็จโดยเฉพาะเพื่อจัดการกับยูสเคสการใช้งานความปลอดภัยของข้อมูลเท็จมาใช้ เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีไม่ถึง 5% หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ตรวจสอบข้อมูลเท็จเหล่านี้ อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงสำคัญต่อองค์กรใดก็ได้
ในยุคของคอมพิวเตอร์ควอนตัม การเข้ารหัสแบบเดิมอาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป Postquantum Cryptography จึงเกิดขึ้นเพื่อป้องกันข้อมูลสำคัญขององค์กร แต่การเปลี่ยนวิธีการเข้ารหัสนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นองค์กรจำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมการล่วงหน้านานขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสร้างการป้องกันที่แข็งแกร่งสำหรับสิ่งที่ละเอียดอ่อนหรือเป็นความลับใด ๆ ก็ตาม การ์ทเนอร์คาดว่าในปี 2572 การเข้ารหัสแบบเดิมส่วนใหญ่อาจถูกแทนที่ด้วยระบบใหม่ที่ทนทานต่อการถอดรหัสด้วยควอนตัม
AI กำลังแทรกซึมเข้าสู่ชีวิตประจำวันของเราอย่างแนบเนียน ปัญญาประดิษฐ์ที่แฝงตัวตามสภาพแวดล้อม หรือ Ambient Invisible Intelligence นี้เกิดขึ้นจากการใช้อุปกรณ์ติดตามอัจฉริยะ หรือ Smart Tags และอุปกรณ์เซ็นเซอร์ขนาดเล็กที่มีต้นทุนต่ำเป็นพิเศษ โดยภายในปี 2570 ตัวอย่างแรก ๆ ของเทคโนโลยีดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การตรวจสอบสต๊อกสินค้าปลีกหรือการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่าย โดยทำให้สามารถติดตามและตรวจจับสินค้าได้แบบเรียลไทม์ด้วยต้นทุนต่ำ เพื่อปรับปรุงการมองเห็นและประสิทธิภาพ
อุตสาหกรรมไอทีส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนหลาย ๆ ด้าน แม้ในปีนี้องค์กรไอทีส่วนใหญ่ต่างคำนึงถึงการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนเป็นหลัก แต่แอปพลิเคชันที่ต้องใช้การประมวลผลสูง เช่น การฝึกอบรม AI การจำลอง การเพิ่มประสิทธิภาพ และการเรนเดอร์มีเดียต่าง ๆ กลับมีแนวโน้มเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการปล่อยคาร์บอนขององค์กรมากที่สุด เนื่องจากใช้พลังงานเยอะสุด
เทคโนโลยีการประมวลผลแบบใหม่ เช่น Optical Accelerators และ Neuromorphic Computing กำลังเข้ามาช่วยลดการใช้พลังงานมหาศาลของงานคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน เช่น การฝึกโมเดล AI และการเรนเดอร์สื่อดิจิทัล
ในอนาคต การประมวลผลแบบไฮบริดที่ผสมผสาน CPU, GPU, Edge Computing และ Quantum Computing ที่รวมกลไกการคำนวณ การจัดเก็บและใช้เครือข่ายที่แตกต่างกัน จะช่วยให้องค์กรสามารถสำรวจและแก้ปัญหาซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เทคโนโลยี อย่างเช่น AI ทำงานได้เกินขีดจำกัดในปัจจุบัน และสร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างแท้จริง
AR และ VR จะพาเราเข้าสู่มิติใหม่ของการประมวลผลเชิงพื้นที่ (Spatial Computing) เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแค่สร้างประสบการณ์เสมือนจริง ในอีก 5 ถึง 7 ปีข้างหน้า การใช้ Spatial Computing จะเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้กับองค์กรผ่านเวิร์กโฟลว์ที่ได้รับการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกัน การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 มูลค่าตลาดของ Spatial Computing จะสูงถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 110 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566
ในอนาคต หุ่นยนต์จะไม่เพียงทำงานซ้ำ ๆ อีกต่อไป แต่จะเป็นหุ่นยนต์อเนกประสงค์ที่สามารถทำงานหลากหลายรูปแบบ และกำลังเข้ามาแทนที่หุ่นยนต์ที่ออกแบบมาให้ทำงานซ้ำ ๆ เฉพาะงาน โดยการทำงานของหุ่นยนต์รุ่นใหม่นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและให้ผลตอบแทนการลงทุนที่รวดเร็วขึ้น การ์ทเนอร์คาดว่าในปี 2573 มนุษย์ถึง 80% จะทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ในชีวิตประจำวัน เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีไม่ถึง 10%
การเพิ่มประสิทธิภาพระบบประสาทจะช่วยเพิ่มความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ ลองจินตนาการถึงเทคโนโลยีที่สามารถอ่านและเพิ่มประสิทธิภาพสมองของเราได้ จะช่วยให้มนุษย์พัฒนาทักษะ สื่อสารกับ AI ช่วยให้แบรนด์ต่าง ๆ ทราบว่าผู้บริโภคกำลังคิดและรู้สึกอย่างไร และเพิ่มความสามารถทางปัญญาได้เหนือขีดจำกัดเดิม การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในปี 2573 พนักงานที่มีทักษะความรู้ (Knowledge Workers) 30% จะได้รับการพัฒนา และพึ่งพาเทคโนโลยี เช่น BBMIs (ทั้งแบบนายจ้างออกทุนให้และแบบออกทุนเอง) เพื่อให้สามารถทำงานสอดรับกับการเพิ่มขึ้นของการใช้ AI ในสถานที่ทำงาน จากเดิมในปี 2567 ที่มีอยู่ไม่ถึง 1%
การ์ทเนอร์ไม่ได้เพียงบอกเราเกี่ยวกับเทรนด์ แต่ยังเตือนถึงความจำเป็นที่องค์กรต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาปรับใช้ในองค์กรอย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบจะเป็นกุญแจสำคัญในการก้าวสู่โลกอนาคตที่เต็มไปด้วยโอกาสและความเปลี่ยนแปลง