กระแสการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ยังคงเป็นเรื่องที่ประชาชนอยากรู้ ว่าจะรับเงินอย่างไร ขั้นตอนแบบไหน ได้รับเมื่อไหร่ ด้านนักวิชาการวงการการเงินได้แสดงความคิดเห็นอย่างน่าสนใจ
นายสมคิด จิรานันตรัตน์ อดีตที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารกรุงไทย หนึ่งในผู้พัฒนาเว็บไซต์ลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันและแอปเป๋าตัง ได้โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊กส่วนตัว Chao Jiranuntarat เกี่ยวกับการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทยว่า
มีคนพูดถึงโครงการ digital wallet ของพรรคเพื่อไทยมากพอสมควร โดยเฉพาะในวงการ tech ว่าการที่จะใช้เทคโนโลยี blockchain มีความเหมาะสมหรือไม่ เพียงใด
อย่างไรก็ตาม จะไม่พูดว่า blockchain เหมาะสมหรือไม่ เพราะคิดว่า เราควรจะตั้งโจทย์ให้ชัดเจน แล้วจึงจะหาเครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสมไปใช้ เพื่อตอบโจทย์นั้นๆ แต่ไม่ควรที่จะเอาเทคโนโลยีเป็นโจทย์เสียเอง
ทั้งนี้ จึงได้ขอเสนอข้อคิดเวลาจะทำโครงการ Digital Wallet แจกเงินดิจิทัล 10000 บาทระดับชาติ จากประสบการณ์ส่วนตัว โดยขอสรุปปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม
นอกจากนี้ โครงการ digital wallet ยังมีเรื่องความกังวลสำหรับกลุ่มคนที่ไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟนและความปลอดภัยต่างๆ
นอกจากนี้ คุณสาโรจน์ อธิวิทวัส ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Wisible ก็ได้แสดงความคิดเห็นบนเฟซบุ๊ก Saroj เกี่ยวกับโครงการ digital wallet แจกเงินดิจิทัล 10000 ว่า
ช่วยเพื่อไทย คิด use case ที่ควรใช้ Blockchain Technology เมื่อเพื่อไทย ถูกแซวไปเยอะแล้วว่าโครงการ 'แจกเงินดิจิทัลหมื่นบาท' ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้ Blockchain เลย เอามาหาเสียงให้ดูเท่เฉยๆ หรือป่าว เลยขออนุญาตช่วยคิด use case ที่เหมาะกับการเอา Blockchain มาใช้ ในแบบที่ technology ตัวอื่น ทำไม่ได้เลย
ช่วงนี้กำลังมีประเด็นร้อนที่บริษัท A จะซื้อที่ดินใจกลางเมือง โดย 'ตั้งข้อสงสัย' a) ว่าใช้ Nominee มาทำธุรกรรมแทน และ b) ได้เงินค่าที่ไปจริงเท่าไหร่
หลักฐานไม่ชัด แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกหน้าไหน ก็มีคนผิดแน่นอน เช่น
ธุรกรรมมีการวางแผนมาอย่างดี ปฎิบัติการทุกอย่างจบในวันเดียว และเพื่อกลบร่องรอยไม่ให้ตามต่อได้ง่าย สาวถึงตัวผู้บงการ ก็มักจะใช้ Nominee มาเป็นตัวละครในการทำธุรกรรมแทน
คล้ายกับกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่โจรไปจ้างชาวบ้าน (หรือไปหลอกชาวบ้าน) มาเปิดบัญชีม้า และเอาบัญชีตาสีตาสา มารับเงินที่หลอกเหยื่อมาได้
เส้นทางการเงิน ก็จะไหลผ่านบัญชีม้าพวกนี้ ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับผู้บงการใหญ่ (โจรตัวจริง) เพราะถูกออกแบบมาให้ 'ฆ่าตัดตอน' สาวไปไม่ถึง by design แต่แรก (ชาวบ้านพอถูกจับ ก็หงายการ์ด 'รู้เท่าไม่ถึงการณ์')
แต่หลักฐานบางอย่าง เช่น การใช้ Nominee มาเป็นชื่อผู้ถือหุ้น กรรมการ และทำธุรกรรมซื้อขายระดับพันล้าน มัน 'แก้ไขย้อนหลัง' ไม่ได้ (ง่าย ๆ ) เช่น การเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้น, เปลี่ยนแปลง กรรมการ ต่อให้เปลี่ยน 10 รอบ (แล้วคิดว่า 'คงไม่มีใครมาตรวจสอบหรอก' ) ทาง DBD (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) ก็ยังเก็บเอกสารทั้งหมดไว้ ตรวจสอบย้อนกลับได้อยู่ดี
แต่นั่นอยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่า "กรมพัฒนาฯ มีความน่าเชื่อถือ มีความสามารถในการดูแลระบบข้อมูล Data Security / Integrity และจะไม่ปล่อยให้ใครมาแอบลบแอบแก้ข้อมูลย้อนหลังได้" แล้วถ้าเราไม่เชื่อล่ะ? Use case แบบนี้ล่ะ ที่เหมาะกับ Blockchain มาก
Blockchain เหมาะเอามาใช้กับ Use case แบบที่ 'กรูไม่เชื่อใครทั้งนั้น! ทุกคนที่เกี่ยวข้องมีสิทธิ์โกงด้วยกันทั้งสิ้น' ดังนั้น ทุกการเปลี่ยนแปลงต้องถูกประกาศและบันทึกโดยคนทั้งบาง
ตัวอย่างคลาสสิกที่มักถูกนำมาเล่าคือ มีหมู่บ้านแห่งนึง มีชาวบ้าน 5,000 คน นาย ก ยืมเงิน นาย ข หมื่นบาท แล้วนาย ข กลัวไม่ได้เงินคืน เลยต้องประกาศให้ชาวบ้านทุกคนหยิบสมุดบัญชี (ledger) ขึ้นมาจดไว้ว่า "นาย ข โอนเงิน 10,000 บาท ให้นาย ก" ซึ่งข้อมูลถูกจดไว้ในสมุดบัญชี 5,000 เล่ม ของคน 5,000 คน (ซึ่งไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องเชื่อใจกัน) (ซึ่งในทางเทคนิคถูกค่อนขอดว่า โคตรสิ้นเปลืองทรัพยากร )
“blockchains are trustless” เราไม่จำเป็นต้องเชื่อตัวกลาง (กรมพัฒนาฯ) เลยก็ได้ แต่เชื่อในความเป็น decentralized” system ของ Blockchain และเอาเหล่าบรรดาคน / หน่วยงาน / สื่อ สำนักข่าวอิศรา/ นักสืบพันทิพย์ / นักสืบ social ที่ไม่เชื่อในตัวกลาง / ภาครัฐ มาเป็น validator ด้วย
เรามั่นใจได้เลยว่าถึงแม้ คืนนี้ จะมีโจรชุดดำบุกเข้าไป data center ของ กรมพัฒนา พร้อมเอามีดจี้เอว System Admin ที่ถือ Key, ID/Password, Token เพื่อเข้าสู่ระบบที่เก็บธุรกรรม การเปลี่ยนแปลง เอกสารสำคัญไว้ แล้วแอบลบ แอบแก้ ก็จะไม่สามารถกลบเกลื่อนร่องรอย การกระทำความผิดได้ ดั่งคำกล่าว "อาชญากร ทิ้งร่องรอยเสมอ"
ด้วยพลังพิเศษของ Blockchain ข้อนี้ ที่ยังไม่มี technology อื่นทำได้ เหมาะกับ use case การตรวจสอบย้อนกลับข้อมูล ที่เรา 'ไม่เชื่อผู้ดูแลระบบ ไม่เชื่อใจตัวกลาง ว่าจะไม่แอบลบ แอบแก้ข้อมูล" มากครับ
นอกจากนี้ ดร. มนต์ศักดิ์ โซ่เจริญธรรม ผู้อำนวยการสถาบันไอโอทีและนวัตกรรมดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ก็ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ โครงการ Digital Wallet แจกเงินดิจิทัล 10000 บาท ไว้บนเฟซบุ๊ก Monsak ว่า
มีคนถามผมมาว่าที่ #พรรคเพื่อไทย มีนโยบายแจกเงิน 1 หมื่นบาท เข้าในกระเป๋าเงินดิจิทัล และใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการบันทึกกข้อมูลเพื่อความโปร่งใสนั้น ดี หรือไม่ดี อย่างไร เทียบกับเงินบาทธรรมดา แจกเข้า App ธรรมดาทั่วไป (เช่น เป๋าตังค์)
ผมยังมีคำถาม (เชิงบริหารจัดการ) อีกหลายคำถาม ที่สงสัย แต่คงไม่ถามตรงนี้มากนัก เพราะใน Social เห็นถามกันเยอะแล้ว
ต่อไปนี้จะลองวิเคราะห์ ในมุมยุทธศาสตร์ข้อมูล (Data Strategy) และ Blockchain และ Digital Disruption และ รัฐบาลดิจิทัล
แสดงว่าต้องติดตามตำแหน่งที่มีการใช้จ่าย แล้วเทียบตำแหน่งที่อยู่จริงทำให้ได้ข้อมูลขั้นต้น
แต่ลองมาวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์กันดู
A. เป็นการสร้างปริมาณ transaction ขนาดใหญ่ และ ทำให้ประชาชนเข้าสู่ระบบพร้อมกันทีเดียวในปริมาณมาก ถ้ามองแบบธุรกิจ คือ เป็นการสร้างฐานลูกค้า มีลูกค้าและ transaction เยอะ มันเอาไปต่อรอง ต่อยอดทำอะไรต่อได้เยอะ
B. การใช้ Blockchain แปลว่าต้องมีการลงทุนพัฒนาโครสร้างพื้นฐานรองรับ หากทำแล้ว คิดให้ยาว ก็คือ เอาระบบหรือบริการภาครัฐอื่น ๆ มาใช้งานวิ่งบนโครงสร้างพื้นฐานนี้เสียเลย
C. หากระบบบริการรัฐ (พวก eService ต่าง ๆ) หรือ สวัสดิการรัฐ (การจ่ายเงินช่วยเหลือตต่าง ๆ) มาวิ่งบนนี้จะคุ้มค่ากว่าไปทำโครงการ Blockchain แยกเป็นเบี้ยหัวแตกมาก
หากทำได้จริง ระบบ Blockchain นี้ก็จะยิ่งเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ และ ความโปร่งใสที่เคลมไว้ ก็จะยิ่งมากขึ้นได้เรื่อย ตามปริมาณ eService และ สวัสดิการที่ย้ายมาทำงานบนนี้
ก็คือ ยิ่งมีข้อมูล ข้อมูล และ ข้อมูล มากขึ้นไปอีกเยอะเลยสามารถไปต่อยอดขับเคลื่อน หรือ ติดตามนโยบายอื่น ๆ ได้แบบ Real-time แถมยังสร้างภาพความโปร่งใสได้อีกด้วย (ทั้งในเชิงการใช้จ่าย และ ในเชิงการจัดลำดับความสำคัญนโยบาย) สอดรับกับอีกนโยบายที่บอกว่าจะยกระดับประเทศไทยเป็น Blockchain Hub แห่งอาเซียน
ซึ่งถ้าทำได้ตามที่ผมวิเคราะห์ข้างบนก็สมศักดิ์ศรี (ในแง่ปริมาณการใช้งาน) ที่จะเคลมเมื่อมีการใช้งานมาก โดยหลายบริการรัฐ หลายสวัสดิการ ย่อมแปลว่าจะเกิดการลงทุนพัฒนาระบบมาเชื่อมต่อใช้งานบนโครงสร้างพื้นฐานนี้เกิดการหมุนเวียนเงินจากการใช้จ่ายของรัฐและเอกชนก็ได้รับเงินกระตุ้น ให้ได้ฝึกคิดฝึกทำ สร้างความเข้มแข็งให้เอกชนและการลงทุนด้านนี้ของไทย
นอกจากนี้ หากเปิดให้เอกชนพัฒนาประยุกต์ใช้ต่อยอกทำงานบนโครงสร้าง Blockchain นี้ได้ด้วยก็เท่ากับ
ปล. ที่เขียนมา คือ วิเคราะห์ส่วนตัว ไม่มีข้อมูลวงใน และเลือกมองแง่ดี หากขับเคลื่อนได้แบบนี้จริง ก็จะเป็นคุณูปการต่อระบบเศรษฐกิจ ได้นกหลายตัวมาก ๆ
ส่วนเชิง Digital Disruption ก็คือเป็นการเอาเงินแจก 1 หมื่นบาท สร้างแรงจูงใจ ให้ประชาชน ภาครัฐ ภาคเอกชน ในการเรียนรู้ทำความเข้าใจเรื่อง Blockchain และการนำมาประยุกต์ใช้งาน
มนุษย์ เป็นสัตว์ที่เรียนรู้ และพัฒนาตัวเองได้ตลอดเวลา เพียงแต่ต้องมีแรงจูงใจที่เหมาะสม