เอ็นไอเอ หรือสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์กรมหาชน) เปิดข้อมูล 7 เทรนด์นวัตกรรมในปี 2566 ที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับไทยและในระดับโลก และยังตอกย้ำเป้าหมายขับเคลื่อนไทยสู่ชาติแห่งนวัตกรรม
เอ็นไอเอ (NIA) หรือสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เผย 7 เทรนด์ในปี 2566 ที่จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับไทยและในระดับโลก
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า NIA ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการสร้างระบบนวัตกรรมของประเทศ มีเป้าหมายสูงสุดที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น "ประเทศแห่งนวัตกรรม"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ซึ่งเอ็นไอเอยังต้องการสนับสนุนให้ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 30 ของประเทศที่มีความสามารถด้านนวัตกรรมของโลก ภายในปี 2573 โดยหนึ่งในกลไกสำคัญคือ การปั้นสตาร์ทอัปและผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมให้สอดคล้องกับเทรนด์โลก
7 เทรนด์นวัตกรรมที่น่าสนใจในปี 2566
1.ขาขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ด้านพลังงาน (New energytech on the rise)
โดยเปลี่ยนจากการใช้พลังงานปิโตรเลียมเป็นพลังงานหมุนเวียน เช่น ระบบกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์แบบเข้มข้นที่สำคัญต่อการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในอนาคตก็คือ ระบบสำรองพลังงานประสิทธิภาพสูง เช่น การสำรองไฟฟ้าสำหรับระบบโครงข่ายพลังงาน , เทคโนโลยีสำรองไฟฟ้าแบบวัสดุลิเธียมไอออนขั้นสูง, ระบบแบตเตอรี่ทางเลือกเป็นต้น
2.การฟื้นสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอากาศยาน (Regenerating travel and aviation industries)
แม้ว่าการเปิดประเทศภายหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่รูปแบบการเดินทางและท่องเที่ยวมีการปรับเปลี่ยนไป ผู้ประกอบการจึงต้องพัฒนาการท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์ความยั่งยืนด้วยนวัตกรรม
ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ตั้งแต่การพัฒนารูปแบบตลาดที่ลดการพึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างชาติ การอำนวยความสะดวกและการสร้างประสบการณ์ใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การบริหารจัดการที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ การท่องเที่ยวกับเชื่อมโยงกับประสบการณ์ชุมชน
รวมถึงการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่อย่าง Workation หรือ Staycation ในด้านธุรกิจการบินก็ต้องนำนัวตกรรมเข้ามาช่วยบริหารจัดการปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและทรัพยากรในห่วงโซ่ การให้บริการที่ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาและบริหารจัดการเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานอย่างมีประสิทธิภาพ
3.ผู้เล่นใหม่จากวงการเทคโนโลยีเชิงลึก (Deeptech startup , a new comers)
เป็นคำตอบของการพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาสำคัญของโลก โดยเป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน ยากต่อการเลียนแบบ จึงสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันบนฐานของทรัพย์สินทางปัญญา สามารถผลักดันธุรกิจให้ขยาย สร้างตลาดใหม่ได้ในระดับนานาชาติได้ อีกทั้งยังได้รับความสนใจจากผู้ใช้หรือนักลงทุนทั้งในกลุ่มเกษตร อาหาร อวกาศ เทคโนโลยีเสมือนจริง เซนเซอร์ ฯลฯ
เนื่องจากเป็นผู้ที่สร้างความแตกต่างให้กับวงการเหล่านั้น ทั้งนี้ พบว่าการระดมทุนของธุรกิจดีพเทคเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากตั้งแต่ในปี 2561 ถึง 2565 จาก 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 60 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลุ่มตัวอย่างของนวัตกรรม เช่น ผลิตภัณฑ์ของ Apple , วัคซีนโควิด-19 , รถไฟฟ้า Tesla ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงพลังของดีพเทคที่อาจจะเป็นคลื่นลูกที่ 4 ในการปฏิวัติวงการอุตสาหกรรม
4.การกลับมาผงาดอีกครั้งของญี่ปุ่นด้วยซอฟต์พาวเวอร์ (Return of Japan Soft Power)
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นในการใช้ซอฟต์พาวเวอร์มาขับเคลื่อนเศรษบกิจตั้งแตอดีต ซึ่งไม่ได้เป็นแค่การเติบโตอุตสาหกรรม
แต่ยังเป็นการสร้างการรับรู้ในกับประเทศไทยเวทีสากล เช่น การนำซอฟต์พาวเวอร์มากระตุ้นและใช้งานผานกิจกรรมโอลิมปิก 2020 โดยนำจุดเด่นของ MAG culture (หนังสือการ์ตูน , มังงะ , อนิเมะ ,เกม และตัวละครอย่างมาริโอ้ โปเกมอน หรือโดราเอมอน มาใช้ประโยชน์ในการสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คน
ส่วนประเทศไทยภาครัฐได้มีแนวทางการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ภายใต้กรอบ 5F ได้แก่ Food (อาหาร) Film (ภาพยนตร์และวีดิทัศน์) Fashion (ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น) Fighting (ศิลปะการต่อสู้-มวยไทย) และงานเทศกาล (Festival)
โดยนวัตกรรมที่คาดว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อน 5F ของไทยที่เห็นได้ชัดคือ NFT (Non-fungible Token) โดยเฉพาะในตลาดนักสะสมของหายาก และเป็นช่องทางสำหรับศิลปินและผู้ผลิตผลงานศิลป์หน้าใหม่ ทำให้ระบบนิเวศของผลงานสร้างสรรค์ไทยเติบโตและผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ไทยให้เข้มแข็ง
5.ปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์เนื้อหาจากข้อมูล (Sophisticated AI for data driven content creation)
ดิจิทัลปฏิวัติภูมิทัศน์สื่อในเกิดการเปลี่ยนแปลงการเข้าถึงผู้คน และเปิดทางให้กับ "คอนเทนต์ครีเอเตอร์" หลายล้านคนเข้ามาสร้างพื้นที่เศรษฐกิจสื่อรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Creator Economy
โดยเฉพาะผู้สร้างที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ปัจจุบันสามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่มนุษย์ได้ออกแบบ-สอน ไว้ในการสร้างไอเดียและเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคอนเทนท์ที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนในระดับปัจเจกมากขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 56.5 เมื่อเทียบกับการใช้งาน AI ในด้านอื่น
นอกจากนี้ AI ยังมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงในมิติอื่น เช่น Virtual Influencer ที่สามารถควบคุมและกำหนดทิศทางในการสื่อสารได้ง่ายกว่าการใช้มนุษย์ มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ บุคลิกภาพโดดเด่นดึงดูดสายตาไม่ต่างจากนางแบบที่เป็นมนุษย์จริง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการรักษาภาพลักษณ์และลดต้นทุนของแบรนด์ได้ด้วย
6.เข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยีอาหาร (Next generation of foodtech)
การเพิ่มขึ้นของประชากรโลก พฤติกรรมการบริโภคที่เน้นอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารที่มีกระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้เทคโนโลยีชีวภาพมีส่วนสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาทรัพยากรอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมถึงเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอาหาร ต่อยอดกระบวนการผลิตอาหารให้ตอบโจทย์การลดภาวะโลกร้อนไปพร้อมกับการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนต่อโลก เช่น
เนื้อที่ทำจากพืช (Plant-based Meat) , เนื้อสัตว์ที่เพาะในห้องแล็บ , อาหารจากเครื้องปริ้นสามมิติ , อาหารเสสริมที่เพิ่มภูมิคุ้มกัน อาหารที่มีประโยชน์และคุณภาพ
โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาดอาหารแห่งอนาคตของโลกในปี 2568 จะมีมูลค่าถึง 0.31 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัวเพิ่มร้อยละ 51 เมื่อเทียบกับปี 2563
7.การลงทุนขนานใหญ่ในเทคโนโลยีความมั่นคง (Hyper Spendin on Defense Tech)
การพัฒนาเทคโนโลยีทางการทหารเป็นสิ่งที่หลายประเทศให้ความสำคัญเพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคงและทางเศรษฐกิจ เช่น
การเตรียมความพร้อมยุทโธปกรณ์และความมั่นคงข่าวสารทำให้เกิดการลงทุนด้านนวัตกรรมทางการทหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย รัสเซีย และสหราชอาณาจักรที่มีการใช้จ่ายงบประมาณด้านนี้สูงสุด
ส่วนนวัตกรรมที่มีความสำคัญได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยีด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการบินเหนือเสียง หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ ความมั่นคงทางไซเบอร์ และอาวุธพลังงานสูง
อย่างไรก็ตามประเทศไทยก็ยังมีนโยบายต่างๆผลักดันให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีป้องกันประเทศเป็น S-Curve ตัวที่ 11 โดยเน้นส่งเสริมและวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีสองทาง (Dual-use) ที่สามารถนำมาใช้งานได้ทั้งภารกิจด้านความมั่นคงและสำหรับภาคพลเรือนทั่วไปเชิงพาณิชย์
ดร.พันธุ์อาจ ได้กล่าวไว้ว่า เอ็นไอเอ จะส่งเสริมนวัตกรรมภายใต้กลยุทธ์การดำเนินงานระยะ 5 ปี โดยแบ่งเป็น 4 กลยุทธ์ได้แก่
1.พัฒนาระบบนวัตกรรมไทยเป็นระบบที่เปิดกว้าง
2.พลิกโฉมระบบการเงินนวัตกรรมไทย
3.สร้างระบบข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม
4.องค์กรสามารถสูงที่พร้อมต่อความเปลี่ยนแปลงระบบนวัตกรรม
และ NIA จะเปลี่ยนบทบาทสะพานเชื่อม (System Integrator) สู่ ผู้อำนวยความสะวดกด้านวัตกรรม เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มความเข้มแข็งของพื้นที่ และพัฒนาศักยภาพและการเติบโตสตาร์ทอัปและผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่เวทีโลกอย่างยั่งยืน และผลักดันประเทศไทยให้เป็นประเทศแห่งนวัตกรรม