Toyota ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ประกาศปลดพนักงานนับ 1,000 คนในจีน หลังจากรัฐบาลจีนหนุนให้คนใช้รถยนต์ไฟฟ้า ชาวจีนจึงหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าจากค่ายดังอย่าง Tesla และ BYD นั่นทำให้โตโยต้าต้องปรับตัว
Toyota ผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังจากญี่ปุ่น ล่าสุดได้มีการประกาศปลดพนักงานกว่า 1,000 คนในจีน ซึ่งคาดว่าเกิดจากการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนที่ต้องการให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) มากขึ้น ส่งผลทำให้โตโยต้ามียอดขายรถยนต์สันดาปที่ลดลง
ประกอบกับเมื่อมีคู่แข่งในตลาดมากขึ้น รถยนต์ไฟฟ้าจากค่ายดังต่างๆเช่น Tesla และ BYD ก็เข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดของโตโยต้าไป
โฆษกของ Toyota เผยว่า พนักงานในบริษัท Guangzhou Toyota Motor ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ Guangzhou Automobile Group จำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงานก่อนที่จะครบกำหนดตามสัญญาจ้าง ตามสถานการณ์การผลิตในปัจจุบัน โดยพร้อมจะจ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้างให้พนักงานเหล่านี้ตามกฎหมาย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ไม่เพียงโตโยต้าที่ประสบปัญหายอดขายที่ลดลงแต่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเจ้าอื่นๆอย่าง Honda , Nissan ก็ประสบกับยอดขายที่ลดลง เนื่องจากคนหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าจาก Tesla หรือ BYD ที่มียอดขายสูงและกำไรต่อเนื่องในช่วงนี้
การลดคนงานของ Toyota เป็นไปตามการตัดสินใจของ Mitsubishi Motors ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ที่ประกาศยุติการดำเนินงานในจีนหลังจากยอดขายซบเซามานานหลายปี โดยมี GAC เป็นผู้ร่วมทุนในท้องถิ่นของทั้ง Toyota และ Mitsubishi Motors
ขณะนี้รัฐบาลจีนยังพยายามออกมาตรการเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นการซื้อรถยนต์ในประเทศ โดยเน้นส่งเสริมรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) เพื่อกระตุ้นผู้บริโภคและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
โดยหน่วยงานรัฐบาล 13 แห่ง รวมถึงคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ระบุว่า ผู้บริโภครถยนต์ภูมิภาคต่างๆ จะได้รับการสนับสนุนให้เพิ่มโควตาสำหรับการซื้อรถยนต์ประจำปี และจะพยายามส่งเสริมการขายรถยนต์มือสองในอีกทาง
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ช่วงเดือนมิถุนายน จีนได้ขยายนโยบายยกเว้นภาษีการซื้อยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ไปจนถึงสิ้นปี 2027 อาจมีส่วนช่วยให้ผู้บริโภคใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลจีนที่เร่งสนับสนุนให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น นั่นเป็นสัญญาณที่ทางค่ายญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota ต้องปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์กระแสรถ EV มากขึ้น เนื่องจากผู้คนก็สนใจในเทคโนโลยีของรถยนต์ไฟฟ้าและความคุ้มค่าที่มีมากกว่าหากเทียบเรื่องค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง
ที่มา : bloomberg