ฉางอัน (Changan) แบรนด์รถจีนระดับโลกที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1862 ซึ่งหากนับจากปีนี้ก็ร่วม 161 ปี ซึ่งฉางอันมีโรงงานผลิตอยู่หลากหลายประเทศทั่วโลก และขณะนี้ได้มาตั้งฐานผลิตรถ EV ในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย
ฉางอัน ออโต้โมบิล (Changan) แบรนด์รถจีนที่ก่อตั้งมาแล้วกว่า 161 ปี ได้ผลิตและพัฒนารถยนต์หลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นรถโดยสารไปจนถึงรถบรรทุกเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันฉางอันได้จำหน่ายรถไปกว่า 90 ประเทศ
ฉางอัน ปัจจุบันมีโรงงานผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์อยู่ถึง 13 แห่ง จัดจำหน่ายอยู่ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นประเทศจีน, บราซิล, รัสเซีย, ไนจีเรีย และมาเลเซีย ซึ่งในปัจจุบันฉางอันสามารถผลิตรถได้ถึง 2 ล้านคันต่อปี
อีกทั้งยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนาตั้งอยู่ในประเทศจีน, อิตาลี, ญี่ปุ่น, อังกฤษ และ สหรัฐอเมริกา เพื่อรองรับการวิจัยและพัฒนาการเทคโนโลยี และ การออกแบบยานยนต์ประเภทต่างๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ฉางอัน เป็นบริษัทของจีนเจ้าแรกที่ทำการเปิดตัวรถยนต์ไฮบริด รวมไปถึงการพัฒนารถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งได้รับคะแนนระดับ 5 ดาวในการทดสอบด้านมาตรฐานความปลอดภัย
ฉางอัน ออโต้โมบิล ได้จับมือร่วมกันเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับ Suzuki , Ford และ Mazda ซึ่งความร่วมมือในการดำเนินกิจการนี้ทำให้ฉางอานได้รับเทคโนโลยีและดำเนินการผลิตรถยนต์รุ่นต่างๆ เช่น Suzuki Swift, Ford Focus และ Mazda 2 สำหรับตลาดภายในประเทศจีน
ฉางอัน ได้ถูกจัดให้อยู่ในรายชื่อ 20 บริษัทใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และ เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่มีอันดับที่ 17 ของโลก โดยบริษัทมีทรัพย์สินที่มีมูลค่ารวมโดยประมาณ 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และ มีพนักงานของบริษัทรวมกันทั่วโลกเกือบ 50,000 คน
รายงานจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่า รถจีน ฉางอัน ออโตโมบิล ลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการลงทุนครั้งใหญ่เป็นแห่งแรกนอกประเทศจีน ด้วยเงิน 9,800 ล้านบาท
โรงงานฉางอัน ในไทย จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV, PHEV, REEV (Range Extended EV) และแบตเตอรี่ โดยวางกำลังการผลิตในระยะแรก 100,000 คันต่อปี เพื่อรองรับตลาดในประเทศ และส่งออกไปยัง อาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ และแอฟริกาใต้
ก่อนหน้านี้ค่ายจีน GAC Aion เพิ่งประกาศแผนลงทุน 6,400 ล้านบาท เพื่อผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในไทยเช่นกัน ซึ่งถือเป็นการเติบโตในตลาดรถ EV ในประเทศไทยที่ได้กระแสตอบรับที่ดี และมีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้ว่าประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตรถ EV อันดับต้นๆในอนาคตหากได้รับแรงสนับสนุนจากทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลและเอกชน