ทางสปริงนิวส์ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ (อ.อ๊อด) อาจารย์และนักวิชาการสาขาเคมีอินทรีย์ และผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของแบตเตอรี่ EV จากกัญชงในไทยและอนาคตของธุรกิจกัญชงในไทย
เรื่องราวของ "ใยกัญชง" ในประเทศไทยเริ่มขึ้นในปี 2535 ซึ่งพืช "กัญชง" อยู่ในโครงการของราชเสาวนีย ซึ่งของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในช่วงรัชกาลที่ 9
ประโยชน์และคุณสมบัติของ "ใยกัญชง"
"ใยกัญชง" มีความเหนียวมากกว่าพลาสติก ซึ่งในยุคก่อนได้มีการให้ชาวเขาและชาวบ้านประชาชนคนไทยสามารถปลูกเพื่อใช้ "ใยกัญชง" เพื่อมาผลิตสิ่งทอได้ในปี 2535 ซึ่งกรมวิชาการเกษตร สถาบันวิจัยที่ราบสูง ได้ร่วมกับ อย. เพื่อสนับสนุนการปลูกและผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆด้วยใยกัญชง
ซึ่งในปี 2540 รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ (อ.อ๊อด) ได้เป็นนักวิจัยในโครงการนี้ได้ร่วมสนับสนุนและมีความพยายามเพื่อจะนำ "ต้นกัญชง" ออกจากบัญชียาเสพติด
รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ ได้พูดถึงใยกัญชงที่ถูกนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆเช่น การผลิตเสื้อเกราะกันกระสุน แต่เนื่องจากเส้นใยเคฟล่าที่มีความเหนียวมากกว่าเข้ามาทดแทน ทำให้ใยกัญชงไม่ได้ถูกนำมาใช้อีกต่อไป
แต่หลังจากนั้นไม่นานก็กลับมานิยมใช้ในปี 2550-2560 เนื่องจากมีการพัฒนาสายพันธุ์ของกัญชงให้มีความเหนียวมากขึ้น แต่ในประเทศไทยเองก็ยังมีเพียงแค่ 4 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ในโครงการ Royal Project Foundation ที่มีชื่อว่า RPF-1 , RPF-2 RPF-3 , RPF-4 ซึ่งยังคงมีข้อด้อยคือ ความสั้นของต้นกัญชง ที่ทำให้ผลิตได้ช้าและอาจยังไม่คุ้มค่าต่อการปลูก
เนื่องจากในต่างประเทศการพัฒนาสายพันธุ์กัญชงไปไกลมากกว่า ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ของฝรั่งเศสที่ทำให้ใยกัญชงมีความยาวกว่า
การใช้ "ใยกัญชง" ยังคงเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมอื่นๆเช่น รถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ยุโรปอย่าง Mercedes-Benz , BMW ก็มีการนำใยกัญชงไปใช้ทดแทนเส้นใยแก้ว และไฟเบอร์กลาส ซึ่งการใช้ใยกัญชงที่มาจากธรรมชาติจะทำให้บริษัทต่างๆยังได้สนับสนุนในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ในด้านเครื่องแต่งกายก็มีหลากหลายนำเส้นใยกัญชงไปใช้ เช่น Nike , Vans หรือ Converse ก็ได้มีการนำไปใช้ทำตัวรองเท้า
กัญชงมาเปลี่ยนแนวในช่วงปี 2560 มีการนำดอกมาใช้ ผลิตสารที่ชื่อว่า CBD ซึ่งสารนี้ไม่เสพติด ไม่มีความมึนเมาจากกัญชง มีคุณสมบัติ ต้านอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านอาการชักเกร็ง การลดน้ำตาลและไขมันได้ดีมาก
หรือแม้กระทั่งในด้านสิ่งก่อสร้างอย่างอิฐมวลเบาก็มีการผสมเส้นใยกัญชงเข้ากับซีเมนต์ทำให้มีความเหนียวแน่นและทนทาน จนในปัจจุบันเข้ามาสู่อุตสาหกรรม "แบตเตอรี่"
ในยุโรปและอเมริกาได้มีการต่อยอดในการนำ "กัญชง" ไปใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม , อาหาร ,ยารักษาโรค และรวมถึงอาหารสัตว์ด้วย
ย้อนกลับมาที่ประเทศไทยมีการปลดล็อกโดยกฎกระทรวงไทยในปี 2564 ให้สามารถใช้สาร "CBD" ที่มาจากกัญชงได้ โดยไม่ถือเป็นสารเสพติด
ซึ่งในมาตรา 429 , 439 ได้อนุญาต "CBD" ในอาหาร , เครื่องดื่ม , เครื่องสำอาง สามารถที่ใช้เป็นยาได้ด้วย ซึ่งในฝั่งของกรมปศุสัตว์ก็กำลังพัฒนาและร่างกฎเกี่ยวกับอาหารสัตว์อยู่ในขณะนี้
ณ ปีนี้ 2565 ทางผู้ประกอบการมีเวลาเตรียมตัว 1 ปี ในการสร้างโรงงานต่างๆ แต่ในไทยเน้นปลูกและผลิตสินค้าจากดอกกัญชงเป็นหลัก เพราะใยกัญชงมีราคาที่ต่ำเพียงกิโลละ 5 บาท ผู้ปลูกและผลิตส่วนใหญ่จึงเน้นไปผลิตดอกกัญชงเพื่อสกัดออกมาเป็น CBD
ประเทศไทยเป็นประเทศแรกของเอเชีย ที่อนุมัติสาร CBD ซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้บริโภค เกษตรกรที่ปลูก ส่งผลต่อเศรษฐกิจก็สามารถสร้างโรงงานสกัดเป็น CBD
การรีไซเคิลของแบตเตอรี่จากใยกัญชง เทียบกับแบตเตอรี่ทั่วไป
ปัจจุบัน "ใยกัญชง" ได้รับความสนใจจากบริษัทแบตเตอรี่เป็นพิเศษ เนื่องจากหากการผลิตใช้เส้นใยกัญชง จะสามารถลดภาษีและได้ในด้านคาร์บอนเครดิต และเส้นใยกัญชงมีความเหนียวกว่าพลาสติกทั่วไปด้วยซ้ำ ประสิทธิภาพดีกว่า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
กัญชงเองเป็นพืชไร่ที่มีวัฎจักรสั้น 2-3 เดือนขึ้นก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ และปลูกได้แบบ Outdoor ได้ฤดู ประเทศออสเตรเลียก็ปลูกกัญชงเป็นน้ำมัน
ทางผู้เขียนเมื่อได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ "ใยกัญชง" ในประเทศไทย สามารถคาดการณ์แนวโน้มว่าประเทศไทยอาจจะมีการนำใยกัญชงมาใช้ได้ในอนาคต
แต่ต้องการการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีสามารถผลิตใยกัญชงได้เป็นจำนวนมากขึ้น เพื่อแก้จุดด้อยของสายพันธุ์ในประเทศไทย ซึ่งในอนาคตหากมีการพัฒนาทำให้ต้นกัญชงในไทยผลิตได้เป็นจำนวนมาก อุตสาหกรรมและเศรษฐกิจกัญชงก็จะเติบโตได้ง่ายยิ่งขึ้น