ประเทศไทย เคาะเพิ่มมาตรการสนับสนุน “รถ EV” ลดภาษีแบตเตอรี่-หัวชาร์จ นาน 8 ปี

หลังจากบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าแห่เข้ามาลงทุนในไทยเป็นเม็ดเงินกว่า 80,000 ล้านบาท ส.อ.ท ได้ออกมาตรการใหม่เพื่อจูงใจนักลงทุนให้เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น และยังมีโครงการแบตเตอรี่อื่นๆเพิ่มเติมอีกด้วย

อีกทั้งบริษัท WHA Group ที่ได้ร่วมมือกับแบรนด์รถยนต์ชั้นนำจากจีนอย่าง BYD ก็ได้ประกาศการเริ่มผลิตรถและแบตเตอรี่ขึ้นในปี 2567 ซึ่งตั้งเป้าไว้ 150,000 คันต่อปี และมีแผนที่จะดึงซัพพลายเชนเข้ามาผลิตร่วมด้วย ซึ่งนี่ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลควรเร่งปรับโครงการสนับสนุนเพื่อให้ดึงดูดนักลงทุนเพิ่มขึ้น

มาตรการที่ได้รับสนับสนุนผู้ผลิต (BOI) จะได้สิทธิประโยชน์ดังนี้

ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3-8 ปี

ลดหย่อนอากรขาเข้าวัตถุดิบและวัสดุที่จำเป็นสำหรับการผลิตเป็น 0%

ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่นำเข้ามาเพื่อวิจัยและพัฒนา

สิทธิประโยชน์เรื่องที่ดินระยะยาว

สนับสนุนช่างฝีมือ / ต่างดาว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

• เปิดประสบการณ์ตรงจากผู้ใช้รถ EV "เปลี่ยนแบตเตอรี่แพง" จริงหรือ?
• “แบตเตอรี่รถ EV” พัฒนาไปอีกขั้น อนาคตอันใกล้ ชาร์จเร็ว ปลอดภัยกว่าเดิม
• ใช้รถยนต์ไฟฟ้าควรรู้! วิธีเช็กแบตเตอรี่ “รถ EV” แบบง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชั่น

บอร์ด BOI ได้กำลังเตรียมเสนอเพิ่มมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับรถ EV , โรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จากก่อนหน้านี้ที่เคยมีมาตรการส่งเสริมประเภทรถ , ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งสถานีชาร์จ ที่จะเพิ่มให้อุปกรณ์ต่างๆนั้น “ปลอดภาษีนำเข้า”

ซึ่งจะช่วยให้ในอนาคตการติดตั้งสถานีชาร์จต่างๆจะทำได้ง่ายขึ้นและสามารถขยายตัวไปตามจุดสำคัญต่างๆ เช่น อาคารสำนักงาน , คอนโดมิเนียม , ห้างสรรพสินค้าต่างๆ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ซึ่งจากเดิมเคยมีตามปั้มน้ำมันเป็นส่วนมาก

โดยจะมาตรการใหม่ที่กำลังจะถูกเสนอขึ้นใช้จริง จะครอบคลุมทั้งรถ HEV (ไฮบริด)  PHEV (ปลั๊กอินไฮบริด) และ BEV (ไฟฟ้า 100%) รวมถึงเรือไฟฟ้า จักรยานไฟฟ้า และอื่นๆอีกด้วย

และยังจะเพิ่มการสนับสนุนการลงทุนอะไหล่รถยนต์ไฟฟ้าต่างๆ เช่น High Voltage Harness , Reduction Gear และอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์สำคัญในรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด

และขณะนี้ยังได้เพิ่ม มอก. เพื่อตรวจสอบคุณภาพแบตเตอรี่ที่จะมีการผลิตในประเทศไทยกว่า 128 มาตรฐาน

นับตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งผ่านมาราว 4 ปี ขณะนี้มีการสนับสนุน BOI ให้กับรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วกว่า 800,000 คัน ซึ่งรวมทั้งรถยนต์ประเภท HEV PHEV และ BEV

ซึ่งนี่เป็นสัญญานที่ชี้ให้เห็นว่า ในอนาคตประเทศไทยมีแนวโน้มชัดเจนว่าจะกลายเป็นแหล่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

และอีกไม่เกิน 1-2 ปี ประเทศไทยเราจะมีรถยนต์ไฟฟ้าใช้มากขึ้น ราคารถจะถูกลงเนื่องจากมาตรการสนับสนุนต่างๆ และสถานีชาร์จก็จะกระจายตัวได้ง่ายขึ้นจากหลากหลายแรงสนับสนุนทั้งจากองค์กรและรัฐบาล