ราคาลิเธียมพุ่งสูงไม่หยุด แบตเตอรี่รถ EV มีแววแพงขึ้น อนาคตจะเป็นอย่างไร?
ขณะนี้ราคาลิเธียมได้พุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์และล่าสุดวันที่ 16 กันยายน ราคาลิเธียมได้สูงถึง 2.63 ล้านบาทต่อตัน ซึ่งราคาพุ่งขึ้นกว่าสามเท่าในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้น
เหตุการณ์ของราคา "แร่ลิเธียม" ที่พุ่งสูงครั้งนี้เกิดจากอะไรบ้าง?
โดยล่าสุดได้แรงหนุนจาก ความต้องการที่มากมหาศาลและการหยุดชะงักของศูนย์กลางการผลิตในประเทศ
การสนับสนุนผู้บริโภคสำหรับรถยนต์พลังงานใหม่หรือรถ EV กำลังมาแรงทั่วโลก ที่ต้องการ "เปลี่ยนแปลงจากรถน้ำมันมาเป็นพลังงานไฟฟ้า"
สมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจีนได้เพิ่มการคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเป็นประวัติการณ์ถึง 6 ล้านคันในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี 2564 ในขณะที่การใช้งานแบตเตอรี่ในประเทศก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าเช่นกัน ตามข้อมูลของ Bloomberg Intelligence
ปัญหาไฟฟ้าขัดข้องในช่วงเดือนสิงหาคมในมณฑลเสฉวน
มลฑลเสฉวน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตลิเธียมมากกว่า 1 ใน 5 ของจีน ทำให้เกิดการตัดไฟ 2 สัปดาห์ ซึ่งขัดขวางอุปทานในตลาดที่บีบตัวอยู่แล้ว
จีนจึงได้จัดประชุมขอให้บริษัทชั้นนำต่างๆ ช่วยทำให้ราคามีเสถียรภาพ อ้างจากกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ผู้ผลิตไม่ควรสมรู้ร่วมคิดในการกำหนดราคาและไม่เสนอราคาที่เบี่ยงเบนไปจากต้นทุนมาก รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อสนับสนุนการสำรวจ นำเข้าเสถียรภาพ และส่งเสริมการรีไซเคิล
ผู้ผลิตแบตเตอรี่และอุตสาหกรรมยานยนต์ต่างเร่งรีบเพื่อกักเก็บลิเธียมที่น่าเชื่อถือและมีเสถียรภาพ การปรับขึ้นราคาวัตถุดิบมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและเพิ่มแรงกดดันด้านต้นทุนให้กับซัพพลายเชน
หน่วยผลิตแบตเตอรี่ของผู้ผลิตชั้นนำของจีน Ganfeng Lithium Co. กล่าวกับลูกค้าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าราคาสำหรับคำสั่งซื้อใหม่จะได้รับการประเมินใหม่ท่ามกลางต้นทุนเซลล์พลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
จากข่าวสารและการวิเคราะห์ทำให้เราเห็นว่า “แร่ลิเธียม” มีราคาสูงขึ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้บริษัทต่างๆจะมีแรงกดดันจากราคาต้นทุนแบตเตอรี่ที่สูงจนอาจเกิดแบตเตอรี่ชนิดอื่นๆเช่น โซเดียมไอออน , กราฟีน หรืออะลูมิเนียมไอออน
และการพัฒนาของแบตเตอรี่จะส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่อๆไป อาจไม่ได้มีแค่การใช้แบตเตอรี่จากแร่ลิเธียมไอออน และนั่นจะทำให้ราคาลิเธียมไอออนมีราคาที่คงที่และไม่พุ่งสูงเหมือนในปัจจุบัน
ที่มา : bloomberg
