Tatsuya Shindo (ทาซึยะ ชินโด) อดีตยากูซ่าที่ผันตัวมาเป็นบาทหลวงหลังจากที่เขาเข้าร่วมแก็งค์ยากูซ่าเมื่ออายุ 17 ปีในปี 2531 โดยเขามีความผิด 7 ครั้ง เคยติดคุก 3 ครั้ง จนเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเส้นทาง ผู้อภิบาล (pastor) ตั้งแต่ปี 2548 จนปัจจุบัน
ชินโดพูดถึงความถูกต้องของประเพณีและความรุนแรงในภาพยนตรที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ชีวิตยากูซ่า 10 เรื่องของฮอลลีวู้ดและของญี่ปุ่นเอง โดยทำการวิเคราะห์ถึงความสมจริงผ่านตาตลอดระยะเวลาการเป็นยากูซ่าของเขา โดยภาพยนตร์ทั้งหมดที่เขาได้วิเคราะห์ในครั้งนี้ได้แก่
(ระวังสปอลล์)
ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด
"Kill Bill: Vol. 1" (2003)
ฉากตัดคอในห้องประชุม
คนที่จะเป็นยากูซ่าไม่จำกัดเฉพาะแค่สัญชาติญี่ปุ่นเท่านั้น ในเรื่องนักแสดงหญิงฟัดคอยากูซ่าท่ามกลางที่ประชุม ไม่ใช่ธรรมเนียมปฎิบัติที่ทำกันในสังคมยากูซ่าทั่วไป และไม่มีการฆ่ากันเองในแก็งค์แบบนี้ในภาพยตร์
"Archer" (2014)
ฉากข่มขู่ในรถยนต์
ยากูซ่าไม่ว่ายังไงก็จะต้องจายหนี้ที่ตัวเองก่อไว้แม้ไม่มีการนองเลือดก็ตาม เงินต้องแก้ด้วยเงิน ในทางปฎิบัติมีการลักลอบขนสิ่งผิดกฎหมายข้ามชาติกันจริงอยู่บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาวุธและยาเสพย์ติด
"Deadpool 2" (2018)
ฉากต่อสู้ในอ่างออนเซน
ยากูซ่ารักการแช่น้ำมาก โดยเฉพาะอ่างอาบน้ำสาธารณะ ในการอาบน้ำจริงทุกคนที่แช่จะต้องเปลืองผ้าออกหมด ไม่สวมกางเกงชั้นใน และไม่มีใครพกดาบยาวลงไปในอ่างขณะแช่ตัว ในญีปุ่นกฎหมายระบุไว้ว่า สามารถพกมีดที่มีความยาวได้เพียง 6 ซม.เท่านั้น ถ้าใครพกพายาวเกินกว่านี้จะถูกจับแน่นอน
“The Outsider" (2018)
ฉาก Yubitsume (ยูบิสึเมะ)
การตัดนิ้วก้อยของพระเอกในเรื่องเกิดขึ้นจริงใน วัฒนธรรมของยากูซ่า ซึ่งมีขึ้นเพื่อการชดเชยหรือจ่ายหนี้ ความหมายคือการแสดงความขอโทษเพื่อให้ได้รับการอภัย แต่ในทางปฏิบัติจริงจะหงายฝ่ามือและตัดข้อนิ้วก้อยแรกเท่านั้น ไม่ตัดทั้งนิ้ว ซึ่งเวลาตัดจริงๆ จะซับซ้อนและโหดร้ายกว่าในภาพยนตร์ คุณชินโดเองก็ ตัดนิ้วก้อย ออกไปด้วยสิ่วและค้อน โดยต้องใช้แรงจากขาเพื่อหั่นข้อนิ้วก้อยให้หลุดออกจากกัน มีเพียงเฉพาะคนในแก็งค์ยากูซ่าเท่านั้นที่ยังคงทำ Yubitsume (ยูบิซึเมะ) นี้
"Avengers: Endgame" (2019)
ฉากฟันดาบท่ามกลางสายฝนในที่สาธารณะ
ในเรื่องนักแสดงที่เล่นเป็นยากูซ่ามีความสมจริงทั้งคาแรกเตอร์ แววตา มีความแข็งกร้าว เฉียบแหลมและว่องไว เพื่อเป็นเกราะให้สามารถอยู่รอดได้ แต่ดาบที่ใช้ฟาดฟันกันนั้นไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ปัจจุบันต่อสู้กันด้วยปืนแทนดาบเกือบหมด
ภาพยนตร์ญี่ปุ่น
"Battles Without Honor and Humanity" (1973)
เป็นภาพยนตร์ในยุค หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ในช่วงสงครามเย็น ซึ่งเป็นยุคยากูซ่าเฟื่องฟูสูงสุด ฉากการขัดแย้งกันเองของคนในแก็งค์เดียวกันเป็นเรื่องปกติ เพราะต้องรักษาความมั่นคงในพื้นที่ความรับผิดชอบของตัวเองไว้ ถือเป็นภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดชีวิตยากูซ่าออกได้อย่างสมจริงที่สุดในจำนวนรายชื่อทั้งหมด
"Minbo" (1992)
ฉากในสถานอาบน้ำสาธารณะ
การมี รอยสักในญี่ปุ่น จะถือว่าคุณเป็นอาชญกร สระว่ายน้ำ หรือออนเซนหลายๆที่ก็ไม่อนุญาตให้เข้าใช้บริการ รวมถึงการจำกัดกิจกรรมอื่นๆ อีกหลายอย่าง ซึ่งแนวคิดนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ในยุคเอโดะ ที่นักโทษทุกคนจะต้องโดนสักที่แขนเพื่อระบุตัวและแสดงให้คนเห็นว่าคนนี้มี ประวัติอาชญกรรม มาก่อน รอยสักที่หน้าอกแสดงถึงสังกัดที่คนๆนั้นอยู่ จะเป็นตราสัญลักษณ์ต้นทางของเขา เมื่อเปิดเสื้อออกก็จะรู้ได้ทันทีว่ามาจากตระกูลไหน โดยกลางหน้าอกจะมีชื่อของหัวหน้าสักอยู่ด้วย ซึ่งในปัจจุบันคนทั่วไปมักไม่โวยวายหรือแสดงความไม่พอใจเมื่อเห็นใครมี รอยสัก กันอีกแล้ว
"Sonatine" (1993)
ฉากยิงกันในห้อง
ในความเป็นจริง ยากูซ่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนทั่วไป ยกเว้นแต่จะยิงสู้กันระหว่างแก็งค์ โดยจะไม่ได้ยิงต่อสู้กันสนั่นลั่นห้องแบบในภาพยนตร์ จะยิงแล้วหนีไปแบบเงียบๆ มากกว่าและไม่นิยมยิงกันในที่สาธารณะ
"Graveyard of Honor" (2002)
ฉากติดสินบน
ในคุกกับผู้คุมต่อรองกันมีความเป็นไปได้ยากที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริง ในคุกมียากูซ่าอยู่ถึงกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด และปัจจุบันมีการนำคนที่เคยเป็นยากูซ่ามารับการฟื้นฟู เพื่อกลับเข้าสู่สังคมอีกครั้ง แต่รอยสักและ นิ้วก้อยที่โดนกุดทิ้ง ไปก็เป็นอุปสรรคและทำให้ถูกกีดกันได้ง่าย
"A Family" (2020)
ฉากซื้อขายยาเสพย์ติด
ตามความเป็นจริงแล้วถือว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำได้ตามหลักการ แต่ส่วนใหญ่ก็จะปิดตาข้างนึงทำเป็นไม่รู้ไม่เป็นกันไปแทน ยากูซ่าเองก็ไม่อนุญาตให้ใช้ยาเสพย์ติด
ในประเทศไทยเมื่อปี 2561 ก็มีข่าวการจับกุม นายชิเกฮารุ ชิราอิ อายุ 72 ปี หนึ่งใน สมาชิกยากูซ่า อันดับ 1ของญี่ปุ่น ที่มีคดีฆ่าคนตายติดตัวแล้วหนีมากบดานอยู่ในจังหวัดลพบุรีถึง 12 ปี จนมีคนถ่ายรูปรอยสักและโพสลงโซเชียล จึงได้มีการตามจับตัวและดำเนินคดีในเวลาต่อมา ซึ่งจุดสังเกตที่สำคัญก็คือนิ้วก้อยที่โดนตัดและรอยสักนั่นเอง
ปัจจุบันทางการญี่ปุ่นได้เข้มงวดกวดขันจัดการกับแก็งค์ยากูซ่าอย่างมาก จนคุณชินโดเองกล่าวว่ากำลังมาถึง จุดสิ้นสุดของแก็งค์ยากูซ่า แล้ว โดยการบังคับใช้กฎหมายทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ โดยที่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่เองก็ไม่อยากเข้าร่วมแก็งค์อีกต่อไป เพราะเมื่อเข้าสู่วงการนี้แล้วก็ยากที่จะเริ่มต้นใหม่หรือเลิกการเป็นยากูซ่าได้โดยง่าย ยกเว้นแต่จะถูกขับออกมาหรือก่อปัญหาร้ายแรง