นับวัน จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ (Omicron) เพิ่มขึ้นทั่วโลก และหลายประเทศก็มีตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งสูงถึงหลักแสน แม้อัตราการเสียชีวิตลดลง แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ แล้วสถานการณ์ประเทศไทยในตอนนี้เทียบกับอังกฤษแล้วเป็นอย่างไร วางแผนเตรียมการไว้แค่ไหน ต้องอ่าน!
สถานการณ์ทั่วโลกกลับมาน่าเป็นห่วงอีกครั้ง เพราะมีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อ Omicron เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกา
สถานการณ์ Omicron ระบาดในอังกฤษ เป็นได้ทั้งตัวอย่างและบทเรียน
หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้เชื้อโควิดแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ คือ ละเลยมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล เช่น ไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน กินดื่มใกล้ชิดโดยไม่เว้นระยะห่าง
ดูอย่างผู้ติดเชื้อรายใหม่ในอังกฤษที่เพิ่มสูงถึง 113,628 ราย ในวันคริสต์มาสเพียงวันเดียว ส่วนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมี 1,281 ราย สอดคล้องกับ Report 50: Hospitalisation risk for Omicron cases in England โดย Imperial College London ที่บ่งชี้ว่า อัตราการติดเชื้อผันแปรกับจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ระหว่าง Omicron และ Delta ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ Delta
ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ Omicron
สรุปสถานการณ์โรคโควิด-19 ในไทย โดย กระทรวงสาธารณสุข
อัปเดตสถานการณ์ที่ต้องจับตา
3 สัญญาณเสี่ยงติด Omicron ที่พึงระวัง
เตือนภัยโควิด 5 ระดับ ระดับไหนทำอะไรได้บ้าง
กระทรวงสาธารณสุขเผยว่าจัดทำระบบเตือนภัยโควิด 5 ระดับ และขณะนี้ไทยอยู่ ระดับ 3
ฉากทัศน์การแพร่ระบาดกับแผนรองรับ
ยาและเตียง พร้อมแค่ไหน
กระทรวงสาธารณสุขสั่งมา ให้เตรียมรองรับสถานการณ์ ดังนี้
กางแผนรองรับในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
ย้ำเตือน 7 ข้อที่ต้องขอความร่วมมือจากทุกคน
ถ้าไม่อยากให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะวิกฤต ต้องขอความร่วมมือจากพวกเราทุกคนให้ทำตาม 7 ข้อนี้
1. เน้นย้ำ VUCA ป้องกันโควิด-19 ทุกสายพันธุ์
2. ให้สวมหน้ากาก 100% ขณะอยู่กับผู้อื่น เว้นระยะห่างจากผู้อื่น ระลึกเสมอว่าผู้อื่นมีโอกาสเสี่ยงที่แพร่เชื้อโควิด-19 ให้
3. รีบไปรับการฉีดวัคซีนทั้งเข็ม 1, 2 และเข็ม Booster สำหรับกลุ่ม 607 เพื่อลดการป่วยหนักหากติดเชื้อโควิด-19
4. ชะลอเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่จำเป็น หากจำเป็นให้ใช้มาตรการ UP ขณะเดินทางและพำนักต่างประเทศ ตรวจหาเชื้อก่อนกลับประเทศ และขณะกักตัว
5. เลี่ยงการร่วมกิจกรรมที่มีคนจำนวนมาก โดยเฉพาะในสถานที่ระบบปิด หรือที่มีโอกาสถอดหน้ากากเกิน 30 นาที เช่น ทานอาหารในร้านอาหารห้องปรับอากาศ สถานบันเทิง กิจกรรมทางศาสนาที่รวมคนจำนวนมาก
6. ให้ปฏิบัติตามมาตรการ UP ขณะโดยสารขนส่งสาธารณะ หากโดยสารเกิน 4 ชั่วโมง ให้ตรวจ ATK ก่อน
7. เลี่ยงสัมผัสใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยง ทั้งคนในครอบครัว และคนที่รู้จักกัน รวมทั้งคัดกรองตรวจหาเชื้อ ก่อนกลับมาทำงานหลังเทศกาลปีใหม่
...................................
ที่มา