svasdssvasds

แก้รัฐธรรมนูญกี่โมง? หลังประชุมร่วมรัฐสภาล่ม 2 วันติด

แก้รัฐธรรมนูญกี่โมง? หลังประชุมร่วมรัฐสภาล่ม 2 วันติด

หลังประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญล่ม 2 วันติด ภท.-สว. บางส่วนขอไม่สังฆกรรมการพิจารณากฎหมายที่อาจขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แย้งกับความเห็นของพรรคประชาชน ส่วนพรรคเพื่อไทยเล็งยื่นศาลตัดสินประชามติ 2 หรือ 3 ครั้งกันแน่?

SHORT CUT

  • การประชุมร่วมรัฐสภาล่ม 2 วันติด เหตุ ภท.-สว. หวั่นขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
  • พรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นศาลวินิจฉัยต้องทำประชามติกี่ครั้ง
  • พรรคประชาชนยืนยันต้องแก้รัฐธรรมนูญทันที เพิ่มหมวด 15/1 เปิดทางตั้ง สสร.

หลังประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญล่ม 2 วันติด ภท.-สว. บางส่วนขอไม่สังฆกรรมการพิจารณากฎหมายที่อาจขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แย้งกับความเห็นของพรรคประชาชน ส่วนพรรคเพื่อไทยเล็งยื่นศาลตัดสินประชามติ 2 หรือ 3 ครั้งกันแน่?

การประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ของพรรคประชาชน ที่เสนอโดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และพรรคเพื่อไทยที่เสนอโดย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.พะเยา โดยมีเนื้อหาแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ว่าด้วยเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และเพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ทั้งหมดเพื่อปลดล็อกการจัดทำรัฐธรรมนูญให้ง่ายขึ้น และเปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมีความกังวลว่า การเสนอเพิ่มหมวด 15/1 คือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ย่อมเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 4/2564 ที่เคยวินิจฉัยว่า หากจะจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ต้องทำประชามติถามประชาชนก่อน

“รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้  โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่”

ดังนั้น การประชุมเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 จึงต้องล่มไปในเวลา 12.00 น. เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ เพราะหลายคนเข้าร่วมประชุม แต่ไม่แสดงตน หรือหลายคนวอล์คเอ้าท์จากห้องประชุม เหลือพรรคที่แสดงตนคือ

  • พรรคประชาชน 140 คนจาก 143 คน
  • พรรคเพื่อไทย 22 คนจาก 142 คน
  • พรรคประชาธิปัตย์ 5 คนจาก 25 คน
  • พรรคประชาชาติ 2 คนจาก 9 คน
  • พรรคไทยสร้างไทย 1 คนจาก 6 คน
  • พรรคชาติพัฒนา 1 คนจาก 3 คน
  • พรรคเป็นธรรม 1 คน
  • สว. 32 คนจาก 167 คน

ขณะที่พรรคที่ไม่แสดงตนเลยได้แก่

  • พรรคภูมิใจไทย 69 คน
  • พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 คน
  • พรรคกล้าธรรม 24 คน
  • พรรคพลังประชารัฐ 20 คน
  • พรรคชาติไทยพัฒนา 10 คน
  • พรรคไทรวมพลัง 2 คน
  • พรรคเสรีรวมไทย 1 คน
  • พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 คน
  • พรรคไทยก้าวหน้า 1 คน

ต่อมาจึงมีการบรรจุวาระของ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. เพื่อขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ในการประชุมวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 แต่กลับมีผู้โหวตไม่เห็นด้วย 275 เสียง (โดยส่วนใหญ่มาจากพรรคประชาชน 137 เสียงและ สว. อีก 136 เสียง) จากจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม 526 คน ทำให้ญัตติของ นพ.เปรมศักดิ์ ไม่สามารถเลื่อนขึ้นมาแทนที่การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นปัญหาอยู่ได้ และการประชุมร่วมรัฐสภาก็กลับล่มอีกภายในเวลา 11.00 น. เพราะจากจำนวนสมาชิกรัฐสภาที่มาลงชื่อร่วมประชุม 620 คน มีผู้มาแสดงตนแค่ 176 คน ประกอบด้วย 

  • พรรคประชาชน 135 คน
  • พรรคเพื่อไทย 2 คน
  • พรรคประชาธิปัตย์ 2 คน
  • พรรคชาติไทยพัฒนา 1  คน
  • พรรคพลังประชารัฐ 2 คน
  • พรรคประชาชาติ 1 คน
  • สว. 28 คน
  • ส่วนที่ไม่แสดงตนทั้งพรรค ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย  พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคกล้าธรรม  พรรคไทยสร้างไทย  พรรคชาติพัฒนา  พรรคไทรวมพลัง  พรรคไทยก้าวหน้า พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคเสรีรวมไทย

โดยพรรคภูมิใจไทย สส. และ สว. ส่วนหนึ่งมองว่าการกระทำนี้อาจขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอดีต จึงไม่ร่วมสังฆกรรม ด้วยการไม่แสดงตน

ขณะที่พรรคประชาชนมองว่า ต้องเดินหน้าตอนนี้ทันที เพราะสิ่งที่ทำ ไม่ขัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่บอกว่า รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่วนการเพิ่มหมวด 15/1 คือการนิยามวิธีการได้มาของรัฐธรรมนูญใหม่ ว่าจะมาจาก สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ทำเพื่อเพิ่มสาระที่ไม่เคยมีในรัฐธรรมนูญ 2560 มาก่อน เขียนวิธีการในกฎหมายไว้ก่อนเฉยๆ เพื่อให้มีเครื่องมือไว้ใช้ จะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้ ก็แล้วแต่ผลประชามติของประชาชน ไม่ได้เป็นการมัดมือชกรัฐสภาให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญเก่าแล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่เท่านั้น

ส่วนจุดยืนของพรรคเพื่อไทยคือการทำให้องค์ประชุมล่ม ดีกว่าปล่อยให้โหวตไม่ผ่านและญัตติเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมตกไป และต้องเข้าใหม่ในสมัยประชุมสภาครั้งหน้า แต่ในระหว่างที่ญัตตินี้ยังอยู่ในวาระการประชุมร่วมรัฐสภา ทางพรรคเพื่อไทยก็จะเสนอให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าจะต้องทำประชามติทั้งหมดกี่ครั้ง ระหว่าง 2 ครั้งตามแนวทางของพรรคประชาชน และ 3 ครั้งตามแนวทางของรัฐบาลและคณะกรรมการศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ก่อนหน้านี้

  • การทำประชามติครั้งที่ 1 ว่าเห็นชอบหรือไม่ที่จะมีการจัดทำ รธน. ฉบับใหม่
  • การทำประชามติครั้งที่ 2 เป็นการทำประชามติในขั้นตอนการร่าง รธน. แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ…. (แก้ไขเพิ่มเติม ม.256) เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ (ในครั้งนี้พรรคประชาชนมีความเห็นว่าไม่ต้องทำ)
  • การทำประชามติครั้งที่ 3 เป็นการทำประชามติเมื่อร่าง รธน. ฉบับใหม่เสร็จแล้ว เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบกับร่าง รธน. ฉบับใหม่

ทั้งนี้กับดักของการจัดการประชามติก็คือการทำประชามติที่มีการกำหนด Double Majority คือ ประชาชนต้องออกมาโหวตเกินครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และเกินครึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิต้องเห็นชอบ ทำให้การแก้รัฐธรรมนูญยิ่งเป็นเรื่องยากเข้าไปอีก จึงนำมาซึ่งการจัดทำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติที่ให้กลับไปใช้เสียงข้างมากธรรมดา แต่กลับมีความเห็นไม่ตรงกับ สว. ที่เห็นควรให้ใช้เสียงข้างมากสองชั้นตามเดิม ดังนั้น ในขั้นตอนนี้ สภาผู้แทนราษฎรจึงต้องรอ 180 วัน หรือหลังวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ถึงจะนำร่างกฎหมายนี้มาพิจารณาใหม่ได้

related