#สรุปให้ Silicon Valley Bank คืออะไร ? ถูกปิดได้อย่างไร กระทบไทยไหม ?
รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศปิด Silicon Valley Bank ธนาคารที่ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพจำนวนมากแต่กลับล้มละลายเพราะเงินหมด ทำไม SVB ถึงถูกปิด เกิดได้อย่างไร และมีผลกระทบกับไทยไหม ?
เมื่อวันศุกร์ที่ 10 มี.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงปกป้องการเงินและนวัตกรรมแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศปิดกิจการของ Silicon Valley Bank (SVB) โดยเป็นผลจากการขาดกระแสเงินสดของธนาคาร เป็นผลมาจากการที่บริษัทสตาร์ทอัพพากันถอนเงินสดและธนาคารไม่สามารถหาแหล่งทุนใหม่เขามาหมุนเวียนได้ทันได้
Silicon Valley Bank (SVB) คืออะไร ?
ธนาคารซิลิคอนแวลลีย์ หรือ Silicon Valley Bank (SVB) มาจากชื่อของย่านที่มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอย่าง Silicon Valley ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางโลกเทคโนโลยีชั้นสูงและนวัตกรรมส่วนใหญ่ของโลก ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทใหญ่อย่าง Apple เป็นต้น
Silicon Valley Bank (SVB) เป็นธนาคารที่เก็บเงินทุน ร่วมทุนและลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า Venture Capital (VC) โดยอาจแลกกับหุ้นหรือสิทธิประโยชน์บางอย่าง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ๋เป้นเหล่าสตาร์ทอัพที่ฝากเงินมูลค่ามหาศาลต่อราย
อ่านเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
- กระทบหนัก หลัง SVB ปิดกิจการ ตลาดหุ้นร่วงเตือนนักลงทุนจับตาให้ดี
- คนทั่วโลกแห่ลบโซเชียลมีเดีย เปิด 5 อันดับแอปฯที่คนอยากลบมากที่สุด
- เทรนด์ฮิตประจำปี 2023 "10 อันดับเว็บ โซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชั่นของไทย"
ธนาคารซิลิคอนแวลลีย์ ล้มได้อย่างไร ?
Silicon Valley Bank หรือ SVB ล้ม เพราะ ธนาคารเริ่มขาดแหล่งทุนในการนำไปลงทุนใหม่ ๆ รวมถึงทุนที่นำลงทุนยังไม่ให้ผลตอบแทนเท่าที่ควร จนทำให้ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง โดยประกาศของธนาคารเมื่อวันพุธ(8 มี.ค.) ว่า ธนาคารได้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล(พันธบัตร คือ การที่สถาบันทางการเงินกู้เงินเราผ่านการขายพันธบัตรแล้วสัญญาว่าจะคืนด้วยดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินฝากปกติ)มูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์ แต่มูลค่าปัจจุบันขาดทุนไป 1,800 ล้านดอลลาร์ พร้อมกับแผนเสนอขายหุ้นธนาคารอีกมูลค่า 2,250 พันล้านดอลลาร์
สาเหตุหลักของ Silicon Valley Bank ปิด มาจากการสูญเสียความเชื่อมั่นจากความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนใหม่และความเชื่อมั่นในการหาหลักประกันมาค้ำยันว่าธนาคารจะสามารถให้บริการต่อ
เมื่อธนาคารซิลิคอนแวลลีย์ สูญเสียความเชื่อมั่น ลูกค้าที่เหลือจำนวนมากจึงย้ายเงินไปที่อื่นอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าหากธนาคารล้มละลายไปจะส่งผลทำให้เงินฝากในธนาคารไม่สามารถถอนออกมาได้
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ได้โพสต์ผ่าน Facebook ชื่อ Pipat Luengnaruemitchai ระบุว่า "ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นปัญหาสภาพคล่องล้วนๆ (จากภาวะตลาดที่บริษัท startups ไม่สามารถหาเงินได้คล่องอย่างเดิม) จนเริ่มกระทบต่อสภาพคล่องของธนาคาร และถูกขยายผลจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้นทุนทางการเงิน และสภาพคล่องเริ่มโดนถอนออกไป"
ปิดกิจการแล้วคนที่ถอนไม่ทันทำอย่างไร ?
บรรษัทค้ำประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) กลายเป็นหน่วยงานที่ถูกรัฐแคลิฟอร์เนียสั่งให้เข้ามาควบคุมและดูแลเงินฝากของประชาชนตามกฎหมาย ซึ่งบรรษัทจะอนุญาตให้ เจ้าของเงินฝากเข้าถึงเงินฝากของตนเองได้ภายในช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 13 มี.ค. ซึ่งสาขาต่างๆ ของ SVB จะเปิดทำการ แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของ FDIC
อย่างไรก็ดี กฎระเบียบของ FDIC ให้การคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 250,000 ดอลลาร์ต่อผู้ฝาก 1 ราย ต่อ 1 ธนาคารเท่านั้น ซึ่ง ข้อมูล ณ สิ้นเดือนธ.ค.2565 ระบุว่า SVB มีสินทรัพย์ทั้งหมดราว 209,000 ล้านดอลลาร์ และมีเงินฝาก 175,400 ล้านดอลลาร์
แล้วไทยจะได้รับผลกระทบไหม ?
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินและการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน มองว่า ถึงแม้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับธนาคาร Silicon Valley จะมีลักษณะเฉพาะ และนักวิเคราะห์ต่างเชื่อมั่นว่าความเสียหายน่าจะไม่ขยายวงกว้างจนนำไปสู่วิกฤติการเงินรอบใหม่ แต่ทุกองค์กรแม้แต่ในไทย ควรหันมาตรวจสอบสินทรัพย์ในมือที่ถือกันอยู่ว่ากระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์ประเภทใดมากเกินไปหรือไม่ แม้แต่พันธบัตรรัฐบาลที่เดิมเชื่อกันว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ
"เหตุการณ์นี้ ทำให้เห็นว่าปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ คือ ดอกเบี้ยขาขึ้นทำให้มูลค่าพันธบัตรร่วงลงมาก เมื่อเกิดเหตุจำเป็นต้องขายเพื่อชดใช้หนี้ ก็สามารถทำให้ขาดทุนจนขาดสภาพคล่องและล้มละลายได้ในที่สุด"
ส่วนสำหรับบุคคลทั่วไป การปิดกิจการของ Silicon Valley Bank (SVB) ทำให้เห็นได้ว่า เราเองก็ต้องกระจายความเสี่ยงทั้งการลงทุน การเก็บออม ไม่ฝากในธนาคารใดธนาคารหนึ่งมากจนเกินไป และที่สำคัญแบ่งสัดส่วนเงินฝากและการลงทุนให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยการการถูกแฮกบัญชี ด้วยการแยกบัญชีและแยกรหัสผ่านให้แตกต่างกัน
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ , PostToday , The Verge
Photo by Tayfun Coskun/Anadolu Agency via Getty Images
