SHORT CUT
“แพทองธาร ชินวัตร” ปลุกพลังผู้หญิงพร้อมขับเคลื่อนประเทศ ไม่อยากให้มองภายนอก เชื่อมั่นทุกคนต่างก็มีความรู้ความสามารถ พร้อมฉายโอกาสประเทศไทย พร้อมรับการลงทุนต่างชาติ
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ TRUE ICON HALL ชั้น 7 ศูนย์การค้า ICON SIAM กรุงเทพฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “Go Thailand 2025 : Women Run the World” 45 ปี ฐานเศรษฐกิจ ว่า หัวข้อในการจัดงานครั้งนี้น่าสนใจอย่างมาก ส่วนตัวไม่อยากให้ทุกคนดูผู้หญิงแค่เพียงภายนอก แต่อยากให้มองให้เห็นภายใน ไม่ว่าผู้หญิงหรือเป็นเพศใด ๆ ต่างก็มีความรู้ความสามารถเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้เห็นว่า ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสำคัญกับบทบาทด้านการทำงานของผู้หญิง โดยประเทศไทยเองก็มีซีอีโอหญิงมากเป็นอันดับ 3 ของโลก แต่ในภาครัฐยังมีปริมาณไม่มาก ซึ่งส่วนตัวมองว่า ในการทำงานอาชีพต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องจำกัดเพศหรือเพศสภาพ เพราะถ้าเรามีอุดมการณ์ มีความคิด และมีความพร้อมที่จะช่วยผลักดันนโยบายต่าง ๆ เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยขับเคลื่อนภาครัฐและเอกชนก็เป็นสิ่งที่ดี
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทางเพศ ขณะนี้ดีใจว่า อย่างน้อย ๆ ประเทศไทยก็มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งสามารถผลักดันออกมาสำเร็จแล้ว โดยในฐานะนายกรัฐมนตรีก็รู้สึกภาคภูมิใจมากที่เป็นนายกในประเทศที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว ถือเป็นเครื่องหมายให้คนมีความเท่าเทียม มีกฎหมายดูแลประชาชนได้ทุกเพศสภาพ เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญและเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจสำหรับคนไทยทุกคน
“ในฐานะที่เป็นทั้งคุณแม่ ลูกสาว และภรรยาก็มีหลายบทบาทหน้าที่ และเป็นหนึ่งในคนที่ต้องสร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัว ให้กับลูก ดังนั้นจึงต้องเข้าใจโลกแบบเข้มแข็ง ไม่ใช่แบบฝืนธรรมชาติ จึงเข้าใจดีว่าการมายืนตรงนี้ด้วยความเป็นผู้หญิง แน่นอนว่ามีคำปรามาสมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง อายุน้อย ซึ่งผู้หญิงมีปัจจัยเสื้อผ้าหน้าผม แต่ทั้งหมดไม่ใช่มาตรวัดความรู้ความสามารถของเพศใดเลย ไม่ใช่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าคนนั้นมีความสามารถที่เพียงพอหรือไม่ แต่นั่นคือรูปลักษณ์ภายนอก คือความชอบแต่ละคน คือความมั่นใจของแต่ละคน” น.ส.แพทองธาร กล่าว
นายกฯ ยอมรับว่า ตอนนี้อยากให้ผู้หญิงทุกคนภูมิใจว่า เมื่ออยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม หรือเมื่อเรามีความรู้ความสามารถ เราเตรียมตัว และตั้งใจทำงาน นั่นคือมาตรวัดของตัวเราว่าเราเต็มที่ในหน้าที่การงานของเรา เรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ และการที่เราเป็นผู้หญิงหรือเป็นเพศใดก็ตาม ก็มีสิทธิมีความเท่าเทียมในการผลักดันประเทศเหมือนกัน โดยทุกอย่างอยู่ที่ใจ อยู่ที่เวลา อยู่ที่การจัดสรรว่าจะสามารถช่วยประเทศได้อย่างไรบ้าง
“จริง ๆ แล้วสอนลูกตัวเองก็อยากให้เขามี Self-Esteem ที่ดี ให้เขาเห็นคุณค่าในตัวเองว่าค่าของเขาอยู่ที่ตัว การที่จะเติบโตขึ้นมาต้องมีพื้นฐานที่รักตัวเองมากพอ และส่งมอบความรักต่อให้คนอื่นได้ แต่ถ้ายังรักตัวเองไม่มากพอ ชอบตัวเองไม่มากพอ จะไม่มีแรงที่จะรักหรือชอบคนอื่นได้ ทั้งหมดนี้คือสิ่งสำคัญ” นายกฯ ระบุ
นายกฯ ยังกล่าวถึงการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลด้วยว่า ล่าสุดได้มีโอกาสไปแสดงวิสัยทัศน์ประเทศไทยในการประชุม World Economic Forum ประจำปี 2568 (WEF Annual Meeting 2025: WEF AM25) ระหว่างวันที่ 20 - 25 มกราคม 2568 ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส และได้พบกับผู้นำทั้งภาครัฐและเอกชนหลายรายทั่วโลก โดยนำเสนอวิสัยทัศน์ประเทศไทย 3 เรื่อง ดังนี้
1.การผลักดันประเทศไทยเป็นครัวโลก
นายกฯ กล่าวว่า จากการเดินทางไปพบปะกับผู้นำทั้งภาครัฐและเอกชนหลายราย รัฐบาลได้พยายามดึงดูดให้หลาย ๆ ประเทศพิจารณาใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะการนำนวัตกรรมการเก็บอาหารไว้ใช้ในระยะยาว เพราะปัจจุบันหลายประเทศไม่สามารถเก็บอาหารได้นาน ซึ่งรัฐบาลได้นำเสนอนวัตกรรมในการเก็บอาหาร เมื่อประเทศต้องการก็สามารถส่งได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งทุกคนได้ชื่นชมและสนใจเข้ามาทำงานกับไทย
ทั้งนี้รัฐบาลยังได้พยายามผลักดันนโยบายตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ โดยส่งเสริมการใช้นวัตกรรมมาในภาคการเกษตร ช่วยเพิ่มรายได้ในภาคเกษตรของไทย พร้อมทั้งพยายามหาเทคโนโลยีเข้ามาเติมเต็มตรงจุดแข็งนี้ให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น
2.การพัฒนาวัฒนธรรมไทยเพื่อสร้างให้เกิดมูลค่าเพิ่มมากขึ้น
นายกฯ ยอมรับว่า ปัจจุบันรัฐบาลพยายามหาทางนำเสน่ห์ของไทยมาพัฒนาเป็นเทศกาลต่าง ๆ ในเมืองหลักและเมืองรอง ให้เกิดขึ้นทุกเดือน เพื่อส่งเสริมการการท่องเที่ยว และสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการผลักดันการสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้ง สถานบันเทิงครบวงจร และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ควบคู่ไปกับการดึงดูดอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ทั้ง อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ โดยพยายามดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศ พร้อมกันนี้รัฐบาลยังส่งเสริมพลังงานสะอาด ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของนักลงุทนต่างชาติ เช่นเดียวกับการลดต้นทุนด้านพลังงานให้สามารถแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ได้ด้วย
3.การพัฒนาคนรับอนาคต
นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามผลักดันนโยบายหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน หรือ ODOS ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญกับการเตรียมความพร้อมบุคลากรของไทยรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยรัฐบาลพร้อมสร้างโอกาสของเด็กไทย เช่นเดียวกับการจัดหา