เปิดข้อสงสัย ซื้อ “Type 054A” จากจีน ขัดทั้งสมุดปกขาวกองทัพเรือ และนโยบายสนับสนุนการต่อเรือรบในไทย แถมเคยแพ้เรือเกาหลี
คสช.อนุมัติการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน 3 ลำ มูลค่า 36,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งจีนจะส่งมอบให้ไทยในปี 2566 นั่นหมายความว่าปีนี้ ทัพเรือไทยจะต้องมีเรือดำน้ำไว้เสริมเขี้ยวเล็บได้แล้ว แต่เหมือนว่าเรือดำน้ำที่เรารอคอยจะกลายร่างเป็นเรือฟริเกตแทนไปเสียแล้ว
ปัญหาเกิดขึ้นเพราะเยอรมนีที่เป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ไม่สามารถขายให้กับจีนได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่จีนต้องแก้ไขให้ไทย โดยตอนนั้นมีอีกทางเลือกคือใช้เครื่องยนต์จีนไปก่อน แต่ข้อเสนอนี้ไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากหลายฝ่าย เพราะศักยภาพของเครื่องยนต์จีนยังเทียบชั้นกับของตะวันตกไม่ได้ ทำให้กองทัพเรือไทยต้องขอเวลาพิจารณาสเปกเครื่องยนต์จีนใหม่อีกครั้ง
จนมาถึงวันที่ 21 ต.ค. 2566 ในที่สุด นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พิจารณาชะลอโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำไปก่อน โดยเปลี่ยนมาเป็นเรือฟริเกตกับประเทศจีนแทน
ทั้งนี้ทั้งนั้นหลายฝ่ายมองว่า เมื่อจีนผิดสัญญาทำไมไทยไม่ขอเงิน 7000 ล้าน ที่จ่ายล่วงหน้าไปแล้วคืนมาก่อนได้หรือไม่ แต่ในประเด็นนี้ นายสุทิน มองว่า “จีนไม่ได้ผิดสัญญา แต่ไม่เป็นไปตามข้อตกลง” โดยเป็นเรื่องของจีทูจี และไทยมีมิติของความเป็นมิตรประเทศ และความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ที่จะต้องมาพิจารณา ไม่ใช่ดำเนินการซื้อขายอย่างเดียว ซึ่งตนไม่ได้มองว่าไทยเสียเปรียบ เพราะราคาที่ต้องจ่ายเพิ่ม เป็นราคากลางที่ทั่วโลกรับรู้กันอยู่แล้ว
เมื่อท่าทีออกมาเช่นนี้ เราจึงสรุปได้ว่า ความฝันที่ไทยจะมีเรือดำน้ำเอาไว้แสดงศักยภาพให้เพื่อนบ้านเกรงใจ คงต้องพับไว้ก่อน ซึ่ง กมธ.ทหาร ก็ได้เชิญกองทัพเรือมาชี้แจงเรื่องโครงการเรือดำน้ำว่าจะเอาอย่างไรต่อไป เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชน แต่ก่อนเริ่มการประชุมเพียง 30 นาที กองทัพเรือก็ของเลื่อนเวลาแถลงรายละเอียดออกไปก่อน โดยอ้างว่ายังเตรียมข้อมูลไม่ครบ จึงขอชี้แจงเป็นสัปดาห์หน้าแทน
อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือมีนโยบายซื้อเรือฟริเกตเพิ่มในปี 2024 อยู่แล้ว แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่า การซื้อเรือฟริเกต Type 054A จากจีนรอบนี้มีความไม่สมเหตุสมผลอยู่มาก โดยทาง “Thaiarmedforce” เว็บไซต์ผู้เชี่ยวชาญอิสระทางการทหารของประเทศไทย ซึ่งดำเนินการโดยกลุ่มคนที่สนใจเทคโนโลยีทางทหารของไทย ระบุถึงข้อสงสัยไว้ดังนี้
เรือ Type 054A เคยแพ้การแข่งขันกับเรือ DW-3000F จากเกาหลีใต้ในโครงการเรือฟริเกตสมรรถนะสูงของกองทัพเรือไทยในปี 2012 ทำให้ไทยเลือกเรือ DW-3000F ซึ่งเข้ามาประจำการที่ไทยในฐานะ “เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช” ในปี 2018 แต่วันนี้กองทัพเรือกลับจะซื้อเอาเรือที่แพ้มาต่อใช้ใหม่ จึงไม่เข้าใจว่าทัพเรือไทยยอมรับข้อจำกัดตอนนั้นได้แล้วหรือ
สมุดปกขาวกองทัพเรือ หน้า 17 ข้อ 39 2566 ระบุว่า มุ่งเน้นการเป็นกองทัพเรือที่กะทัดรัดและทันสมัย (Compact & Modernized Navy) ซึ่งยุทโธปกรณ์ที่จัดหาใหม่ ต้องมีความทันสมัยสอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป (Technology Oriented) ควบคู่ไปกับการลดประเภท และแบบของยุทโธปกรณ์ (Focused Force) ด้วยการต่อเรือ/จัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ชุดเดียวกัน เพื่อให้เกิด ความง่ายในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะการบํารุงรักษา และกําลังพลสามารถสับเปลี่ยนหน้าที่กันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่เรือฟริเกต Type 054A ไม่มีอะไรเลยที่กองทัพเรือเคยใช้งานมาก่อน ไล่ตั้งแต่เครื่องยนต์ เรดาร์ กระสุน ไปจนถึงค่าบำรุงรักษาที่อาจจะบานปลาย ส่วนลานจอดบนเรือก็จอดได้แต่เฮลิคอปเตอร์ของรัสเซียและจีน ทำให้ไม่มีเฮลิคอปเตอร์ลำไหนที่ได้รับการรับรองจากกองทัพเรือไทยใช้งานได้ และระบบสื่อสาร
กล่าวคือเรือ Type 054A มีเทคโนโลยีต่างกับเรือฟริเกต 5 ลำของไทยที่มีอยู่ (เรือตากสิน,เรือนเรศวร,เรือกระบุรีม,เรือสายบุรี,เรือภูมิพล) ซึ่งแปลว่ากองทัพเรือต้องเสียเงินอีกมากเพื่อเรือลำนี้ลำเดียว
กองทัพเรือพูดในหลายโอกาสว่า ส่งเสริมอุตสาหกรรมการต่อเรือภายในประเทศ เพื่อประหยัดงบประมาณ และกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ซึ่งจริง ๆ แล้วควรจะเป็นการต่อเรือหลวงภูมิพลลำที่สอง โดยจะเป็นการต่อเรือฟริเกตเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
แต่ครั้งนี้คาดว่า เรือ “Type 054A” จะต่อในจีนอย่างแน่นอน ซึ่งก็แปลว่าโครงการแบบนี้อุตสาหกรรมของไทยก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เหมือนเดิม
กองทัพเรือไทยจำเป็นต้องมีเรือดำน้ำอย่างเร็วที่สุด เพราะไม่มีเรือที่ใช้ซ่อนพราง หาข่าว วางทุ่นระเบิด ในขณะที่เพื่อนบ้านในอาเซียนหลายชาติมีเรือดำน้ำที่ทำให้ได้เปรียบทัพเรือไทย
ส่วนเรือฟริเกตถึงจะรบได้ 3 มิติ คือรบบนฟ้า บนน้ำ และใต้น้ำ แต่ตัวเรือไม่สามารถอำพรางตัวเองได้ ซึ่งเรือ “Type 054A” ราคาก็ไม่ได้ถูก เพราะราคาแพงกว่าหรือพอๆ กับเรือฟริเกตที่ติดระบบอาวุธของตะวันตกด้วยซ้ำ แถมรีบซื้อมาประเทศไทยก็ยังมีช่องว่างในการปฏิบัติงานเพราะไม่มีเรือดำน้ำใช้เหมือนเดิม
ผู้เชี่ยวชาญของ Thaiarmedforce ไม่ได้มองว่าเรือลำนี้ไม่ดี กลับเรือลำนี้จะจะมีประสิทธิภาพสูงมากในกองทัพเรือไทย และสูงอันดับต้น ๆ ในอาเซียน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ กองทัพเรือมีแต่ปัญหาการซ่อมบำรุงเรือที่ใช้อะไหล่ร่วมกันไม่ได้ การฝึกที่ไม่สามารถแบ่งปันและสลับเรือกันได้ ระบบอาวุธที่แตกต่างกัน กระสุน จรวด คนละแบบ คนละขนาด ที่สำคัญคือในการปฏิบัติการร่วมกันจะมีโปรไฟล์ของเรือต่างกัน ยิ่งเรือมากแบบ ยิ่งสร้างความสับสน
สำหรับทางออกที่ดีที่สุดคือ การยกเลิกสัญญา แล้วขอเงินคือหรือขอคืนเป็นสิ่งของที่มีมูลค่าเท่ากับเงินที่ไทยลงทุนไป แล้วจึงเปิดประมูลใหม่ ไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนโครงการเรือดำน้ำ เป็นเรือฟริเกตเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก thaiarmedforce.com
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดสเปค เรือรบความเร็วสูงจากจีน ราคา 1.7 หมื่นล้านบาท
10 อันดับ กองทัพเรือ ทรงแสนยานุภาพสุดในโลก 2023 สหรัฐฯ ยืนหนึ่ง ไทยรั้ง 21
มหากาพย์ "เรือดำน้ำจีน" ไทยเปลี่ยนไปซื้อ "เรือฟริเกต" คุ้มไหม?