ถอดบทเรียน! แผ่นดินไหว “แสนสิริ” จัดการ Crisis Management ความปลอดภัยลูกบ้านสำคัญสุด

ประเทศไทยผ่านภาวะวิกฤตมาหลายครั้งพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมใหญ่ โควิด-19 และล่าสุดปี2568 เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมียนมา และแรงสั่นสะเทือนกระทบมาถึงประเทศไทย จนมีเหตุการณ์ตึกถล่มขึ้น และอาคารบ้านเรือน คอนโดมีเนียม หลายแห่งทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด แตกหัก มีรอยร้าว แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้ผู้อยู่อาศัยในอาคารบ้านเรือนต่างๆ มีความกังวลใจ และหวาดระแวง เรื่องความปลอดภัยว่าตึกจะถล่มหรือไม่?

เรื่องนี้อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในระยะสั้น เนื่องจากบทเรียนราคาแพงในครั้งนี้ จะถูกนำไปแก้ไข และทำการบ้าน จัดทำแผนรับมือต่างๆ เพื่อรองรับอนาคต โดยเฉพาะในเรื่องของ การบริหารจัดการภาวะวิกฤต (Crisis Management) ที่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยจำเป็นต้องมี และทำให้รวดเร็ว รอบคอบ เพื่อให้ลูกบ้านได้รับผลกระทบน้อยที่สุด อย่างเช่น บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ชั้นนำของไทยที่ให้ความสำคัญในเรื่อง การบริหารจัดการภาวะวิกฤต (Crisis Management) มาก พร้อมเน้นย้ำความปลอดภัยของลูกบ้านสำคัญที่สุด

#SPRiNG มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษผู้บริหาร 2 ท่าน คือ นายองอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการแนวสูง และ นายวิสุทธิ์ จันทร์วัฒรังกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการแนวสูง บมจ.แสนสิริ เล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้นับว่าเป็นภาวะวิกฤตที่ไม่ทันได้ตั้งตัวในรอบ 40 ปี ที่แสนสิริก่อตั้งบริษัทมา แตกต่างจากภาวะวิกฤตอื่นๆที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เช่น น้ำท่วมใหญ่ แสนสิริยังพอมีเวลาได้เตรียมตัว เพราะน้ำไม่ได้มาเร็วเหมือนแผ่นดินไหว

สำหรับการเตรียมตัวรับมือน้ำท่วม แสนสิริได้เริ่มตั้งแต่การสรรหาที่ดินจะต้องอยู่บนพื้นที่ระดับน้ำทะเลปานกลางที่ทำให้น้ำท่วมไม่ถึง รวมถึงการเช็กข้อมูลย้อนหลังหลายๆปีว่ามีน้ำท่วมบริเวณที่ดินที่จะซื้อหรือไม่ เพื่อเป็นข้อมูลการตัดสินใจในการเลือกทำเลเพื่อพัฒนาโครงการ รวมถึงการวางแผนการทำระบบปั๊มน้ำ แผนการการจัดน้ำรอระบาย ออกแบบคันกั้นน้ำ ระบบความปลอดภัยอื่นๆ จึงทำให้สามารถรับมือน้ำท่วมได้

ทั้งนี้ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา แสนสิริพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ไปแล้วกว่า 230 โครงการ 30,000 ยูนิต และมีแผนเตรียมความพร้อมรับมือ Crisis Management  มาโดยตลอด แต่ยอมรับว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ที่รวดเร็วมาก และไม่มีเวลาได้เตรียมตัว จึงทำให้แสนสิริต้องเร่งบริหารจัดการ โดยเริ่มจากการที่รับทราบข้อมูลจากคนในองค์กรก่อน หลังจากนั้นพยายามหาข้อมูลก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น ขนาดเท่าไหร่ หาข้อมูลก่อนเท่าที่หาได้ 

 รวมถึงการใช้ข้อมูลจากการประกาศขอภาครัฐที่แจ้งว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นจึงวางแผนบริหารจัดการภาวะวิกฤตว่าจะทำอย่างไรต่อ ซึ่งเริ่มจากการจัดตั้ง War Room รวมทีมพิเศษฉุกเฉินจากทีมงานหลากหลายฝ่ายทั่วทั้งองค์กรกว่าร้อยชีวิต มาช่วยกันทำหน้าที่บริหารจัดการผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว รวบรวมฐานข้อมูล (Database) ให้ได้มากที่สุด และนำไปใช้ในการแก้ปัญหา

พร้อมกันนี้ได้เร่งดำเนินการช่วยเหลือ และอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านในการตรวจสอบ และอำนวยความสะดวกยื่นเคลมประกันภัยอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อสามารถเข้าซ่อมแซมและฟื้นฟูที่พักอาศัย ให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม พร้อมกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอย่างไร้กังวล เน้นความความปลอดภัยลูกบ้านมาเป็นอันดับแรก

โดยแสนสิริ พร้อมดูแลลูกบ้านทุกท่านให้อุ่นใจ และมั่นใจได้ว่าลูกบ้านจะได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด ผ่านการอยู่อาศัยในโครงการของเราหากลูกบ้านท่านใดไม่สะดวกเข้าไปตรวจสอบความเสียหาย และถ่ายภาพเพื่อส่งเคลมประกันภัยด้วยตัวเอง สามารถติดต่อนิติบุคคลประจำโครงการ เพื่อขอความช่วยเหลือในการถ่ายภาพและดำเนินการแจ้งเคลมประกันภัยแทนได้ ซึ่งทั้ง 30,000 ยูนิต จะต้องเร่งตรวจสอบให้แล้วเสร็จ และจะส่งเอกสารเคลมประกันภัยทันกำหนดของ คปภ. ในวันที่ 15 พ.ค. นี้

 อย่างไรก็ตามการทำงานแก้ Crisis Management   แสนสิริได้ทำงานร่วมกับ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูก รวมถึงพาร์ทเนอร์ พร้อมทีมงานวิศวกร ทีมดีไซน์  ผู้รับเหมา เข้าไปตรวจสอบอาคารบ้านเรือน คอนโด ของลูกบ้าน โดยเบื้องต้นพบว่าไม่กระทบต่อโครงสร้างอาคาร พร้อมได้ตรวจสอบงานสถาปัตย์  ลิฟต์ ระบบไฟฟ้า น้ำประปา โดยส่วนใหญ่พบปัญหาเรื่องผนังแตกร้าว

“สิ่งไหนที่เราควบคุมได้เราจะเร่งจัดการให้ลูกบ้านให้เร็วที่สุด และสิ่งไหนที่เราควบคุมไม่ได้ เราจะพยายามประสานงานให้อย่างเร่งด่วน เช่นเรื่องของการเคลมประกันภัย การเตรียมเอกสาร การถ่ายรูป การเข้าไปเจรจากับบริษัทประกันภัย เป็นต้น เพื่อให้ลูกบ้านสบายใจได้ เราไม่อยากให้ยืดเยื้อ เราจะเน้นการบริหารจัดการที่ดีบนข้อมูลที่ดีบนดาต้าเบส พร้อมกับการสื่อสารที่ไม่ผิดพลาด รวมถึงการบริหารจัดการกับพาร์ทเนอร์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน”

 อย่างไรก็ตามจากบทเรียนเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุด ทำให้แสนสิริมีดาต้าเบสมากมาย ที่พร้อมนำมาศึกษา และใช้ข้อมูลดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการรับมือวิกฤตครั้งต่อๆไป พร้อมกันนี้เชื่อว่าบนวิกฤตสินค้าจะมีคุณภาพมากขึ้น โดยแสนสิริจะนำบทเรียนจากความเสียหายดังกล่าวมาวางแผนใหม่ เช่น การทำฝ้า ผนัง ให้มีความยืดยุ่นในการรับมือแผ่นดินไหวมากขึ้น นำนวัตกรรมใหม่ๆเข้ามาช่วยมากขึ้น