SHORT CUT
ผบ.ตร. ลั่นไม่ใช่ญาติ หลัง "ลูกนายกเบี้ยว" คดี BMW เบียดกระบะ โอ้อวดเรียกอาต่าย สั่งดำเนินคดีเด็ดขาด ด้านรองนายกฯ แจง ‘ทักษิณ’ ร่วมงานตามที่ถูกเชิญปกติ อย่าจับแพะชนแกะ
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์หอประชุมกองทัพเรือ กรณี นายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ หรือพีช ผู้ขับรถ BMW คู่กรณีรถกระบะ ที่อ้างว่ารู้จัก “อาต่าย” โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ชี้แจงว่า ทุกคนสามารถเรียกตัวเองว่าอาต่ายได้ ได้ดูคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และได้เน้นย้ำไปทางตำรวจทางหลวง ตำรวจภูธร ในเรื่องการดำเนินคดี และอยากให้แยก มิติของการรู้จัก กับความเป็นญาติ ซึ่งในความเป็นตำรวจ ก่อนที่ตนจะได้เป็น ผบ.ตร. รู้จักคนมาเป็นจำนวนมาก ส่วนตัวไม่เคยปิดกั้นใคร ดังนั้น ไม่ว่านักการเมืองท้องถิ่น สส. ตนเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว นายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือ นายกเบี้ยว พ่อของผู้ก่อเหตุ ตัวเองก็รู้จัก ยอมรับว่ามีคนอยากถ่ายรูปกับผม ซึ่งผมก็ถ่ายด้วย ยิ่งเมื่อผมก้าวขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. มีคนอยากเป็นลูกเป็นหลานเยอะ และทุกคนก็เรียกว่า "อาต่าย"
“ผม ได้ย้ำกับตำรวจทุกคนว่า เราทำงานใกล้ชิดกับประชาชน ขอให้ทำตัวเหมือนญาติ ใครจะเรียกเราน้า หรืออาเป็นเรื่องที่ดี ผมไม่ชอบให้ใครมาเรียกว่าท่าน ดังนั้น ความใกล้ชิดหรือรู้จักกันเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่เด็กคนนี้กระทำ เราแยกออกไป และยืนยันว่าผมไม่มีญาติแบบนี้ ผมตระกูลพันธุ์เพ็ชร์ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางพ่อหรือแม่ของผม...คำว่าหลานอาต่าย ผมฟังแล้วไม่รื่นหูเท่าไหร่ แค่รู้สึกว่าทำไมทำเช่นนี้ ยืนยันผมมีลูกคนเดียว ย้ำเสมอว่าอย่าทำตัวเป็นขยะสังคม”
อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องขาดวุฒิภาวะและจิตสำนึก ขาดความเอื้ออาทรบนท้องถนน ขาดความรับผิดชอบต่อผู้อื่น อยากให้มองว่าหากรถกระบะมีเด็กอยู่ด้วย จะเป็นอย่างไร การขับรถต้องมีสติ และเมื่อเกิดเหตุ ไปอ้าง หรือเรียก นั่นคือนิสัย การโอ้อวดให้พ้นผิด เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งโอ้อวด ยิ่งทำเช่นนี้ ยิ่งโดน ตัวเองได้กำชับไปย้ำไปทางผู้บัญชาการ ตำรวจภูธรภาค 1 ให้ทำคดีตรงไปตรงมา ไม่มีการช่วยเด็ดขาด ให้ผู้กระทำผิดได้รับบทเรียนและโทษทัณฑ์ที่เป็นกฎเกณฑ์ของสังคม
ส่วนที่ผู้ก่อเหตุพยายามโอ้อวดว่ารู้จักคนใหญ่คนโต เป็นเรื่องของนิสัยคน ตัวตนคน บางคนอาจไปกระทบกระทั่ง แต่เราต้องแยกแยะให้ดี ตนไม่ได้เข้าข้างใคร พ่อเขาจะเป็นอย่างไร ก็แยกแยะไป ลูกชายอีกคนเป็น สส. ก็แยกแยะ ส่วนตัวเด็กที่ก่อเหตุจะด้วยอุปนิสัย เราต้องแยก หากทำผิด ต้องได้รับโทษทัณฑ์ สำหรับเรื่องคดีนั้น ปัจจุบัน ดำเนินคดีในเรื่องการจราจรและจะเรียกมารับทราบข้อกล่าวหา ส่วนคดีอาญา รอให้ผู้เสียหายไปร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีอื่น ส่วนจะเป็นฐานความผิดพยายามฆ่าหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ต้องสอบสวน ถึงพฤติการณ์ขับรถ อาการบาดเจ็บของผู้เสียหาย ก็ต้องนำมาพิจารณา เป็นเหตุและองค์ประกอบในฐานความผิดใด ทั้งนี้อยากวิงวอนสังคม ไม่อยากให้วิพากษ์วิจารณ์ หรือเอาตนไปเกี่ยวข้อง
ขณะที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แสดงความกังวล เนื่องจากปรากฏภาพพ่อของนายสมิทธิพัฒน์ มีความสนิทสนมกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ โดยย้ำว่า เรื่องนี้ต้องแยกออกจากกัน ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องกฎหมายก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย ในกรณีที่กฎหมายมีอยู่และภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้น วิดีโอ และข้อมูลที่เกิดขึ้น ก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ว่าไปตามกฎหมาย และไม่ต้องกังวล เรื่องนี้เราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่แล้ว
รองนายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงว่า นายทักษิณ ไม่ได้ไปงานลูกชายนายกเบี้ยว เพียงอย่างเดียว เวลาสมาชิกหรือใครก็ตามขอให้ไป ท่านก็ไป นายกเบี้ยว เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ลูกชายคนโต ก็เป็น สส. พรรคเพื่อไทย ในเมื่อ สส. จะบวชน้องชาย ก็เชิญนายทักษิณ ในฐานะผู้เคยก่อตั้งพรรคไทยรักไทยมาจนถึงพรรคเพื่อไทย และน.ส.แพทองธาร ก็เป็นหัวหน้าพรรค ดังนั้น การร้องขอให้ไปร่วมงานไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นในทุกจุดที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยหรือญาติมีงานแต่งงาน มีงานศพ หรืองานบวช เป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปมองเรื่องความสัมพันธ์พิเศษ เพราะทุกพรรคก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน อย่าไปจับแพะชนแกะ ขอให้เจ้าหน้าที่ทั้งหมดไม่ต้องเกรงใจว่าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายอย่างเต็มที่ ไม่เกี่ยวกับเรา
“ผู้มีอิทธิพลสร้างเหตุการณ์ที่มีปัญหาต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้ ไม่ต้องกังวล ไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้อง ขอให้ว่าไปตามกระบวนการ จะไปบิดไปเบี้ยวก็อยู่ในสายตาของประชาชน พรรคคงไม่ทำอย่างนั้น”