svasdssvasds

ดับฝัน! "ลดค่าไฟฟ้า" ต่ำกว่า 4 บาท/หน่วย อาจเป็นไปได้ต่ำ

ดับฝัน! "ลดค่าไฟฟ้า" ต่ำกว่า 4 บาท/หน่วย อาจเป็นไปได้ต่ำ

ค่าไฟรอบพ.ค.-ส.ค. 68 ยังอยู่ที่4.15-5.16 บาท/หน่วย โอกาสต่ำกว่า 4 บาท/หน่วยความหวังริบหรี่ กกพ. ชี้ 3 ทาง ต่ำสุดได้เพียง 4.15 แถมต้นทุนเชื้อเพลิงพุ่ง

SHORT CUT

  • เชื่อว่าหลายคนกำลังเฝ้ารอดู และติดตามอย่างใจจดใจจ่อว่าค่าไฟจะลดลงมาต่ำกว่า 4 บาท/หน่วย ได้หรือไม่ตามที่อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้
  • ส่วนค่าไฟรอบ พ.ค.-ส.ค. 2568 ยังอยู่ที่ 4.15-5.16 บาทต่อหน่วย โอกาสต่ำกว่า 4 บาท/หน่วย ความหวังริบหรี่
  • กกพ. ชี้ 3 ทางเลือกต่ำสุดได้เพียง 4.15 แถมต้นทุนเชื้อเพลิงพุ่งช่วงหน้าร้อนดันต้นทุน ส่วนไฟฟ้าพลังน้ำลดลง ต้องนำเข้าถ่านหิน ไฟจากลาวเพิ่มก็ยังช่วยไม่ได้

ค่าไฟรอบพ.ค.-ส.ค. 68 ยังอยู่ที่4.15-5.16 บาท/หน่วย โอกาสต่ำกว่า 4 บาท/หน่วยความหวังริบหรี่ กกพ. ชี้ 3 ทาง ต่ำสุดได้เพียง 4.15 แถมต้นทุนเชื้อเพลิงพุ่ง

ประชาชนอย่างเราๆต่างเฝ้ารอดู และติดตามอย่างใจจดใจจ่อว่าค่าไฟจะลดลงมาต่ำกว่า 4 บาท/หน่วย ได้หรือไม่ตามที่อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ได้ปาฐกถาพิเศษ “Bull Rally of Thai Capital Market” เมื่อต้นปี2568 ที่ผ่านมาว่า ไทยควรปรับลดค่าไฟฟ้าลงเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการรีดไขมันออกจากโครงสร้างค่าไฟฟ้าโดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับรัฐ เช่น การปรับลดค่าผ่านท่อส่งก๊าซ การหยุดเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนสูง การลดความสูญเสีย (Lost) ที่มากเกินไปในระบบ พร้อมให้คำมั่นสัญญาว่าหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลต่ออีกสมัย ประชาชนจะได้เห็นค่าไฟฟ้าถูกลงเรื่อยๆ

เรื่องราวดังกล่าวจึงทำให้ประชาชนมีความหวังที่จะได้ใช้ไฟฟ้าที่ถูกลง และลุ้นกันแบบสุดๆ ในหน้าร้อนปี2568 นี้ โดยเฉพาะค่าไฟงวดรอบ พ.ค.-ส.ค. 2568 ว่าจะลดต่ำกว่ากว่า 4 บาท/หน่วย เลยหรือไม่ ความคืบหน้าล่าสุด นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ค่าเอฟทีในงวด พ.ค.-ส.ค. 2568 ยังคงมีภาระการชดเชยต้นทุนคงค้างที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ.

นอกจากนี้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐยังผันผวนจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ และการระบายน้ำของเขื่อนในประเทศได้ลดลงในฤดูแล้ง แม้จะมีแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินแล้ว แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้ายังมีแนวโน้มที่สูงขึ้นตามสภาวะอากาศร้อน ทำให้ กกพ. ยังไม่สามารถประกาศปรับลดค่าเอฟทีลงได้ 

ดับฝัน! \"ลดค่าไฟฟ้า\" ต่ำกว่า 4 บาท/หน่วย อาจเป็นไปได้ต่ำ

“ปัจจัยหลักๆ ยังคงเป็นภาระการชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. และต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน ประกอบกับช่วงฤดูแล้งและอากาศที่ร้อนทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าต้นทุนต่ำลดลงตามฤดูกาล ในขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้ากลับเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยลบที่กดดันค่าเอฟที และไม่สามารถปรับลดค่าเอฟทีลงได้อีก” นาย พูลพัฒน์ กล่าว 

นาย พูลพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนที่ กกพ.ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อร่วมหาแนวทางใหม่เพิ่มเติม ในการปรับลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ กกพ.ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเพิ่มเติม ที่จะสามารถนำมาเป็นปัจจัยในการพิจารณา ค่าเอฟทีได้ทันตามวงรอบปกติของการพิจารณาค่าในงวด พ.ค.- ส.ค. 2568 ที่ถูกกำหนดให้ต้องทบทวนและ ค่าเอฟที และค่าไฟฟ้า ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 1 เดือนก่อนที่การประกาศจะมีผลบังคับใช้ 

ทั้งนี้ในการประชุม กกพ. ครั้งที่ 9/2568 เมื่อวันพุธที่ 5 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา กกพ. มีมติให้สำนักงาน กกพ. ดำเนินการเปิดรับฟังความคิดเห็นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในงวดเดือน พ.ค. - ส.ค. 2568 แบ่งเป็น 3 กรณีตามเงื่อนไข ดังนี้

กรณีที่ 1: ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟที (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด) และการคำนวณกรณีเรียกเก็บมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าปี 2566 ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 137.39 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะเป็นการเรียกเก็บตามผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟทีที่สะท้อนแนวโน้ม (1) ต้นทุนเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 จำนวน 16.39 สตางค์ต่อหน่วย และ (2) เงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. จำนวน 71,740 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 99.98 สตางค์ต่อหน่วย) และมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) จำนวน 15,084 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 21.02 สตางค์ต่อหน่วย) รวมจำนวน 121.00 สตางค์ต่อหน่วย

โดย กฟผ. จะได้รับเงินที่รับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าแทนประชาชนตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 - ธันวาคม 2567 ในช่วงสภาวะวิกฤตของราคาพลังงานที่ผ่านมา คืนทั้งหมดภายในเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้มีสถานะทางการเงินคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ จะได้รับเงินคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าคืนทั้งหมด ซึ่งเมื่อรวมค่าเอฟทีขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.16 บาทต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากระดับ 4.15 บาทต่อหน่วย ในงวดปัจจุบัน 

ดับฝัน! \"ลดค่าไฟฟ้า\" ต่ำกว่า 4 บาท/หน่วย อาจเป็นไปได้ต่ำ

กรณีที่ 2: ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟที (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด) ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 116.37 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะเป็นการเรียกเก็บตามผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟทีที่สะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 จำนวน 16.39 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. จำนวน 71,740 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 99.98 สตางค์ต่อหน่วย)

โดย กฟผ. จะได้รับเงินที่รับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าแทนประชาชนในช่วงสภาวะวิกฤตของราคาพลังงานที่ผ่านมา คืนทั้งหมดภายในเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้มีสถานะทางการเงินคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งเมื่อรวมค่าเอฟทีขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.95 บาท ต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากระดับ 4.15 บาทต่อหน่วย ในงวดปัจจุบัน ทั้งนี้ ยังไม่รวมมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) อีกจำนวน 15,084 ล้านบาท

ดับฝัน! \"ลดค่าไฟฟ้า\" ต่ำกว่า 4 บาท/หน่วย อาจเป็นไปได้ต่ำ

กรณีที่ 3: กรณีตรึงค่าเอฟทีเท่ากับงวดปัจจุบัน (ข้อเสนอ กฟผ.) ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 จำนวน 16.39 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยชำระคืนภาระต้นทุน AF คงค้างสะสมได้จำนวน 14,590 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 20.33 สตางค์ต่อหน่วย) เพื่อนำไปพิจารณาทยอยคืนภาระค่า AF ให้แก่ กฟผ.

และมูลค่าส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับค่าก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บ เดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) ในระบบของ กฟผ. ต่อไป โดยคาดว่า ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2568 จะมีภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. รับภาระแทนประชาชนคงเหลืออยู่ที่ 60,474 ล้านบาท

ทั้งนี้ยังไม่รวมมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) อีกจำนวน 15,084 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมค่าเอฟทีขายปลีกกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) คงที่เท่ากับ 4.15 บาทต่อหน่วย เช่นเดียวกับปัจจุบัน

“จากแนวโน้มค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงจากงวดก่อนหน้า 0.91 บาทต่อเหรียญสหรัฐ (งวด ม.ค. - เม.ย. 68) เป็น 34.27 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ความต้องการใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงเดือน พ.ค. - ส.ค. 2568 ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลดลงเนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูแล้ง”

อย่างไรก็ตามการไฟฟ้าได้ลดต้นทุนโดยซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศและการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้าเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ยังต้องจัดหานำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวแบบสัญญาจร (LNG Spot) มากกว่าช่วงต้นปี โดยราคา LNG Spot ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามปริมาณความต้องการในตลาดโลกมาอยู่ที่ 14.0 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู  แต่ปัจจัยที่ยังไม่สามารถทำให้ค่าไฟลดลงได้ยังคงมาจากภาระหนี้ค่าเชื้อเพลิงสะสมในช่วงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าจะลดลงมากจากงวดก่อนหน้า แต่ภาระหนี้ที่มีอยู่ก็ยังอยู่ในระดับสูงและต้องได้รับการดูแลเพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศด้วย

นายพูลพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสาเหตุหลักซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมส่งผลให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวลดลง แต่เมื่อรวมกับการทยอยคืนหนี้ค่าเชื้อเพลิงค้างชำระในงวดก่อนหน้าที่ยังคงสูงอยู่ ส่งผลให้ค่าไฟในช่วงกลางปี 2568 นี้ อาจจะต้องปรับเพิ่มค่าค่าเอฟทีขึ้นสู่ระดับ 116.37 - 137.39 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อคืนหนี้คงค้างให้กับ กฟผ. และ ปตท. ซึ่งทำให้เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บในงวด พ.ค. - ส.ค. 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 4.95 - 5.16 บาทต่อหน่วย หรือหากตรึงค่าเอฟทีไว้ที่ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย โดยทยอยคืนหนี้คงค้างควบคู่ไปกับการลดผลกระทบต่อการปรับค่าไฟฟ้าอย่างก้าวกระโดดเพื่อลดภาระของประชาชน ค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย เท่ากับปัจจุบัน

สำนักงาน กกพ. ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าได้ง่ายๆ 5 ป. ได้แก่ ปลด หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้าเมื่อใช้งานเสร็จ ปิด หรือดับไฟเมื่อเลิกใช้งานนปรับ อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศา เปลี่ยน มาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิภายในบ้าน ซึ่งทั้ง 5 ป. จะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าเองด้วย ทั้งนี้ กกพ. เปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 11 – 24 มีนาคม 2568 ก่อนที่จะมีการสรุปและประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

นายพูลพัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า แนวโน้มหน้าร้อนปี2568 อาจมีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2-3%  หรืออาจใช้ไฟสูงถึง 71,000 ล้านบีทียู ซึ่งขณะนี้การไฟฟ้าทั้ง 3 การไฟฟ้า และผู้ผลิตไฟ ได้เดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตรองรับ และพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ และได้เลือกใช้เชื้อเพลิงให้ถูกที่สุด ส่วนโอกาสที่ค่าไฟไทยจะลดลงต่ำกว่า 4 บาท/หน่วย ก็ขึ้นอยู่กับภาคนโยบายที่ต้องพิจารณากาแนวทางที่จะช่วยประชาชนอยู่เพราะเกี่ยวข้องกับค่าครองชีพ

ทั้งนี้ต้องรอดูว่าฝ่ายนโยบายจะหยิบยกนโยบายตัวไหนขึ้นมาใช้ สำหรับความเป็นไปได้ที่ต่ำสุดจะอยู่ที่ 4.15 บาท/หน่วย นับได้ว่าเป็นพื้นฐานต้นทุนที่แท้จริง และจะนำเงินไปใช้หนี้ กฟผ.ได้เพียงเล็กน้อย ซึ่งขณะนี้หนี้เหลือประมาณ 7,1000 ล้านบาท ส่วนหนี้ค่าแก๊สเหลืออีก 15,000 ล้านบาท เป็นหนี้ทั้งสองก้อนที่ต้องหาวิธีจัดสรร และใช้คืนหนี้ดังกล่าวให้ได้

“ถ้าค่าไฟต่ำกว่า4บาท สามารถทำได้หลายวิธีเช่นรัฐมีแนวทางวิธีเช่นไร เรายังอยู่ในการเปิดรับฟังความเห็น สามารถมาหารือกันได้ ก่อนที่เราจะประกาศค่าไฟที่จะมีการเรียกเก็บในรอบถัดไป ส่วนการจะใส่เม็ดเงินไปอุ้มค่าไฟเท่าไหร่ ใครจะเป็นคนใส่เม็ดเงินลงไปก็ต้องหารือกันต่อไป”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

 

 

related