SHORT CUT
ยืนยันเดินหน้าโครงการต่อไม่รอข้อสรุป ไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบิน หลังติดปมล่าช้า ชี้กระทบโครงการหนัก เล็งปรับอาคารผู้โดยสารเหลือครึ่งเดียว
ชี้พร้อมที่จะเดินหน้าโครงการต่อ โดยเตรียมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ สกพอ. เพื่อตกลงรายละเอียดของโครงการ และเตรียมปรับลดขนาดของโครงการลงทุนจากเดิมเหลือประมาณ 40-50%
“คีรี” เล็งลดไซส์ “สนามบินอู่ตะเภา” รองรับการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก 6,500 ไร่ ในพื้นที่ EEC “คีรี” ยืนยันเดินหน้าโครงการต่อไม่รอข้อสรุป ไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบิน หลังติดปมล่าช้า ชี้กระทบโครงการหนัก
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด (UTA) เปิดเผยว่า บริษัท จะเดินหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก บนพื้นที่ 6,500 ไร่ภายในพื้นที่ของ EEC ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรวมกว่า 290,000 ล้านบาท โดยไม่รอโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพราะที่ผ่านมาโครงการมีความล่าช้าและยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเริ่มงานก่อสร้างได้เมื่อใด
ปัจจุบันโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ได้ลงนามในสัญญาไปแล้ว และกำลังจะครบ 5 ปี ในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 แต่ยังไม่สามารถผลักดันโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลักของโครงการออกมาได้ และตามกำหนดเวลาตามสัญญาจะต้องออกหนังสือแจ้งให้เอกชนเริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องจัดทำแผนประสานงานระหว่าง 2 โครงการ ทั้งโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ และโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ด้วย
อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ได้มีการแก้ไขสัญญา ทำให้โครงการไม่สามารถเริ่มต้นการก่อสร้างได้ และส่งผลกระทบต่อโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ ออก NTP ไม่ได้ แม้ว่าจะมีการลงนามในสัญญาไปแล้ว และที่ผ่านมาบริษัทได้ใช้เงินลงทุนไปแล้วหลายพันล้านบาท นอกจากเงื่อนไขของ NTP ยังมีสิ่งที่หน่วยงานรัฐต้องดำเนินการเพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้ ผ่านสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ทั้งด้านภาษี และที่ไม่ใช่ภาษีด้วย
นายคีรี กล่าวว่า เหตุผลของการออก NTP ที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะยังติดเงื่อนไขที่ตกลงไว้ในสัญญา ทั้งสิทธิประโยชน์ยังไม่ชัดเจน และการเริ่มต้นก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ยังไม่มีข้อสรุป แต่ ณ ขณะนี้ บริษัทรอการดำเนินการต่าง ๆ มาเป็นเวลาเกือบ 5 ปีแล้ว และคงไม่สามารถรอต่อไปได้ และในช่วงเวลาที่เหลือก่อนจะถึงเดือนมิถุนายน 2568 นี้ ก็จำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างออกมา เพราะไม่อย่างนั้นคงจะไปตอบผู้ถือหุ้นบริษัทไม่ได้
“ถ้าเรารอไม่ได้ ก็มีวิธีการอยู่ คือ การต่อสู้ทางคดี หรือวิธีพยายามหารือและร่วมมือให้ EEC เริ่มต้นได้ ซึ่งเราเลือกวิธีไปเริ่มต้นแทน เพราะคงไม่มีประโยชน์ที่จะไปฟ้องร้องกัน และไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เศรษฐกิจ อีกทั้งยังไม่สามารถแก้ปัญหาให้จบได้ เพราะโครงการ EEC เป็นโครงการสำคัญของประเทศไทย ที่ต้องเปิดรับนักลงทุนเข้ามาลงทุน เพื่อจะได้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติในระยะยาว” นายคีรี ระบุ
สำหรับขั้นตอนต่อจากนี้ บริษัทยืนยันความพร้อมที่จะเดินหน้าโครงการต่อ โดยเตรียมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ สกพอ. เพื่อตกลงรายละเอียดของโครงการ และเตรียมปรับลดขนาดของโครงการลงทุนจากเดิมเหลือประมาณ 40-50% ก่อนเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสามารถเริ่มได้ทันที โดยเฉพาะงานก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร จากเดิมจะดำเนินการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร เพื่อรองรับผู้โดยสารประมาณ 12 ล้านคนต่อปี อาจปรับเหลือเพียง 5 ล้านคนต่อปี
ขณะที่เมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งเดิมประเมินมูลค่าการลงทุนภายในโครงการไว้สูงสุดกว่า 600,000 ล้านบาท ภายใต้พื้นที่ 1,200 ไร่ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถระบุได้ว่า การลงทุนในพื้นที่เมืองการบินภาคตะวันออก อาจปรับขนาดลงลงเหลือเท่าใด เพราะตอนนี้ขอรอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายของรัฐก่อนว่า ในการหารือร่วมกันจะเดินหน้าโครงการออกมาในรูปแบบใด และจะมีสิทธิประโยชน์ใดที่จะดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนในพื้นที่
“บริษัทพร้อมเดินหน้าต่อกับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เมื่อได้สิทธิที่เราควรจะได้ ซึ่งเรายินดีและพร้อมเดินหน้าโครงการทันที โดยขอให้อีอีซี แจ้งความชัดเจนให้บริษัทเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และพิจารณาการบริหารสัญญาที่เหมาะสมด้วย แต่ต้องบอกให้ชัดเจนว่าจะให้ทำอะไรในโครงการได้บ้าง โดยที่ผ่านมาเราได้คุยกับ EEC ต่อเนื่องและคุยได้ด้วยดี แต่คงไม่บอกตัวเลขอะไร คงให้เขาไปพิจารณาเอง” นายคีรี ระบุ
นายวีรวัฒน์ ปัณฑวังกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) กล่าวว่า ในการปรับลดขนาดของโครงการลงทุนลงนั้น ไม่จำเป็นต้องแก้ไขสัญญา เพราะในสัญญาได้เปิดโอกาสให้คู่สัญญาหารือกันได้ ซึ่งมีความยืดหยุ่นมากกว่าสัญญาของโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ แต่การปรับปรุงรายละเอียดโครงการจะต้องตั้งมีเหตุมีผล โดยไม่ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขสำคัญในสัญญา ก็สามารถดำเนินการผ่านการหารือร่วมกันได้
ขณะที่การปรับแบบก่อสร้างนั้น จะมีผลกระทบต่องานก่อสร้างอุโมงค์รถไฟความเร็วสูงที่มีพื้นที่เชื่อมต่อภายใต้อาคารผู้โดยสารหรือไม่นั้น เห็นว่า ภาครัฐจะต้องหาข้อสรุปถึงปัญหาดังกล่าวว่า ถ้าโครงการรถไฟความเร็วสูงยังไม่สามารถดำเนินการได้ หากจะยังต้องการให้เตรียมพื้นที่ไว้รองรับรถไฟความเร็วสูง ก็ต้องแจ้งมาให้ชัดเจนว่าจะมีทางออกอย่างไร เพราะไม่อย่างนั้นจะกระทบกับการลงทุนโดยรวมของโครงการ และรัฐต้องจัดลำดับความสำคัญให้ชัดเจนต่อไปด้วย
ส่วนการจัดสิทธิประโยชน์พิเศษภายใต้โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ นั้น ปัจจุบันภายใต้กฎหมายของ EEC สามารถให้สิทธิประโยชน์กับนักลงทุนได้ ทั้งสิทธิประโยชน์ด้านภาษี และที่ไม่ใช่ภาษี แต่การจะออกมาทั้งหมดก็ต้องมีการออกกฎหมายจากกระทรวงการคลังเข้ามารองรับก่อน ซึ่งเชื่อว่าสามารถดำเนินการได้
“ถ้าไม่มีรถไฟความเร็วสูงก็ต้องกลับมานั่งคิดว่า สิทธิประโยชน์ที่รัฐจะให้มีอะไร และทาง EEC ต้องบอกคอนเซ็ปต์โครงการให้ชัดว่า ต่อไปโครงการนี้จะใช้รองรับคนไทยเดินทางท่องเที่ยว หรือรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือสร้างรถไฟความเร็วสูงจะให้คนกรุงเทพฯเดินทางมาใช่หรือไม่ ทั้งหมดนี้ก็ต้องบอกให้ชัด เพราะการก่อสร้างในแต่ละคอนเซ็ปต์จะลงทุนไม่เหมือนกัน หากเรื่องเหล่านี้ชัดการลงทุนจะได้เริ่มต้นได้ในทันที” นายวีรวัฒน์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ครม.อนุมัติ 12โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา-ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ
ดึง! 'จีน' พัฒนาสนามบินอู่ตะเภา จ่อ MOU สนามบินเจิ้งโจว ประเดิมเที่ยวบินนำร่อง