svasdssvasds

Bridge to Terabithia ภาพยนตร์แฟนตาซีสำหรับเด็กที่เศร้าที่สุดตลอดกาล !

Bridge to Terabithia ภาพยนตร์แฟนตาซีสำหรับเด็กที่เศร้าที่สุดตลอดกาล !

เหตุผลที่ Bridge to Terabithia (สะพานมหัศจรรย์) กลายเป็นภาพยนตร์เด็กที่เศร้าที่สุดตลอดกาล หลายคนที่โตมากับเรื่องนี้ไม่สามารถลืมเลือนได้

SHORT CUT

  • "Bridge to Terabithia" เป็นภาพยนตร์เด็กที่แตกต่างออกไป ไม่ได้นำเสนอมิตรภาพ และจินตนาการตามวัยเด็กอย่างเดียว แต่ได้ซ่อนความเศร้าอันลึกซึ้งที่ตราตรึงใจ
  • เป็นการบอกผู้ชมในวัยเด็กอีกว่า ช่วงเวลาที่โศกเศร้า การจากลา และความตายนั้น สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อ แม้แต่ตอนที่เราเป็นเด็ก
  • หนังเลือกเล่าในแง่รับมือความตายในโลกความจริง โดยเน้นถึงความแตกต่างระหว่างโลกที่สดใสภายในทีราบิเธีย และความจริงอันโหดร้ายที่อยู่นอกขอบเขตของมัน

เหตุผลที่ Bridge to Terabithia (สะพานมหัศจรรย์) กลายเป็นภาพยนตร์เด็กที่เศร้าที่สุดตลอดกาล หลายคนที่โตมากับเรื่องนี้ไม่สามารถลืมเลือนได้

โลกของเรามีภาพยนตร์แฟนตาซีสำหรับเด็กมากมายที่พาเราเดินทางไปยังดินแดนมหัศจรรย์ อัดแน่นไปด้วยการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น และมักจบลงด้วย "แฮปปี้เอนดิ้ง" ที่ทำอิ่มเอมใจ

แต่ในบรรดาเรื่องราวเหล่านั้น "Bridge to Terabithia" กลับเป็นภาพยนตร์เด็กที่แตกต่างออกไป ไม่ได้นำเสนอมิตรภาพ และจินตนาการตามวัยเด็กอย่างเดียว แต่ได้ซ่อนความเศร้าอันลึกซึ้งที่ตราตรึงใจ และกล้าสะท้อนมุมที่โหดร้ายของชีวิตให้ผู้ชมอายุน้อยได้สัมผัสตั้งแต่เนิ่นๆ

จนหลายคนที่เติบโตมากับภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังคงจดจำความเจ็บปวดหลังดูครั้งแรกได้เป็นอย่างดี

ทำไม Bridge to Terabithia ถึงติดอันดับภาพยนตร์เด็กที่เศร้าที่สุดของใครหลายคน มาดูเหตุผลกัน

Bridge to Terabithia (2007)

**สปอยส์เนื้อหาสำคัญ**

“สอนให้เด็กเข้าใจการจากลา”

Bridge to Terabithia เป็นภาพยนตร์ของ Walt Disney ดัดแปลงจากนิยานในชื่อเดียวกัน ของ ‘แคทเธอรีน เพเตอร์สัน (Katherine Paterson)’ นักเขียนชาวอเมริกา ตัวหนังเล่าเรื่องของ ‘เจส อารอนส์’ เด็กชายวัย 12 ปีที่ไม่ค่อยมีเพื่อนที่โรงเรียน จนได้พบกับ ‘เลสลี เบิร์ค’ เด็กผู้หญิงที่เพิ่งย้ายมาอยู่ใกล้บ้านเขา ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน และใช้พื้นที่ในป่าหลังบ้านของเลสลีเป็นอาณาจักรในจินตนาการ ที่ชื่อว่า “ทีราบิเธีย” พวกเขาใช้การโหนเป็นทางเชื่อมข้ามลำธารเพื่อเข้าไปในดินแดนแห่งนี้ โดยแต่งตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์และราชินีของทีราบิเธีย ที่นี่เป็นสถานที่ที่พวกเขาสามารถหลบหนีจากปัญหาชีวิตประจำวันและใช้จินตนาการสร้างโลกของตัวเอง

ทั้งสองใช้เวลาด้วยกันประจำ และแทบไม่เคยแยกจากกัน แต่เช่นเดียวกับทุกชีวิต ในที่สุดความเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น วันหนึ่งเจสแอบหนีไปเที่ยวในเมืองกับครูสาวที่เขาชอบโดยไม่ชวนเลสลี พอเจสกลับถึงบ้านเขาก็รู้ข่าวว่า เลสลี่ เสียชีวิตเพราะตกลงมาจากเถาวัลย์

น่าสนใจตรงที่ ตัวหนังไม่ได้นำเสนอฉากเสียชีวิตของ เลสลี่ ให้เราเห็นตรงๆ แต่ทำให้คนดูเศร้าได้โดยผ่านตัวละครเจสที่ไม่ยอมรับเรื่องนี้ในตอนแรก แต่สุดท้ายเขาก็ตระหนักจากใจจริงว่า เลสลี่จากเขาไปแล้ว ถือเป็นการยอมรับความจริงที่ต้องใช้ความกล้าของตัวละคร และยังเป็นการบอกผู้ชมในวัยเด็กอีกว่า ช่วงเวลาที่โศกเศร้า การจากลา และความตายนั้น สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อ แม้แต่ตอนที่เราเป็นเด็ก

Bridge to Terabithia (2007)

“ความตายไม่ใช่จุดจบ”

คำพูดที่น่าจดจำของเรื่องนี้ มาจากพ่อของเจสที่ปลอบลูกชายว่า "เธอได้นำสิ่งพิเศษมามอบให้กับลูกตั้งแต่เธอเข้ามาที่นี่ใช่ไหม? สิ่งนั้นแหละที่ลูกควรยึดมั่นไว้ นั่นคือวิธีที่ลูกจะเก็บเธอไว้ให้มีชีวิตอยู่เสมอ"

ในจุดนี้เองที่ Bridge to Terabithia อธิบายว่า ความตายไม่ได้เป็นจุดจบของการเดินทางร่วมกันระหว่างเลสลี่และเจส เพราะการที่เจสเก็บเลสลี่ไว้ในความทรงจำของเขา ทำให้เธอไม่ได้จากไปอย่างแท้จริง และมิตรภาพของทั้งสองก็ยังคงอยู่ตลอดไป ภาพยนตร์แฟนตาซีเรื่องนี้จึงลึกซึ้งในแง่ของการ ทำให้เด็กเติบโต และรู้จักที่จะเก็บรักษาใครบางคนไว้ในความทรงจำเพื่อมีชีวิตต่อไป

เรื่องราวนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโศกนาฏกรรมในชีวิตจริงของผู้เขียน หลังจาก แคทเธอรีน เพเตอร์สัน รับรู้ว่า เพื่อนวัย 8 ขวบของลูกชายเธอ เสียชีวิตจากฟ้าผ่า ทำให้ลูกชายของเขาโศกเศร้ามาก แคทเธอรีน จึงเขียนวรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้เพื่อให้เด็กเรียนรู้ที่จะรับมือกับความตายและความเศร้าโศก 

Bridge to Terabithia (2007)

โศกนาฏกรรมทำให้เราเติบโต !

แม้ Walt Disney จะมีหนังที่พูดถึงความตายเรื่องอื่นๆ เช่น The Lion King ที่อธิบายว่าความตายเป็นเกี่ยวกับวัฏจักรแห่งชีวิต และนำไปสู่ตอนจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ส่วนเรื่อง Up เน้นความตายเป็นเรื่องของแรงบันดาลใจและผจญภัยตามล่าความฝันขณะยังมีชีวิต แต่ Bridge to Terabithia เลือกเล่าในแง่รับมือความตายในโลกความจริง โดยเน้นถึงความแตกต่างระหว่างโลกที่สดใสภายในทีราบิเธีย และความจริงอันโหดร้ายที่อยู่นอกขอบเขตของมัน

พูดให้ชัดคือความตายของ เลสลี มันไม่มีอะไรสวยงาม ไม่ยุติธรรม และเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่เพราะมันคือชีวิตจริง เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับมันและเลิกโทษตัวเอง การที่เจสสูญเสียเลสลีทำให้เขาละทิ้งความไร้เดียงสาและยอมรับความเป็นจริงมากขึ้น

จากทั้งหมด ไม่ผิดนักหากกล่าวว่า “Bridge to Terabithia” ถือเป็นผลงานสำหรับเด็กที่เหนือกาลเวลา และยังสร้างความประทับใจให้กับผู้ใหญ่ได้เช่นกัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related