SHORT CUT
ไทยเอาไงดี หลังอินโดทุ่มงบการศึกษา 5 พันล้าน แถมขึ้นเงินเดือนครูอีก 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะความหวังและอนาคตของชาติอยู่ที่การศึกษาเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องรีบแก้ไข
ระบบการศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ การลงทุนในด้านการศึกษาจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลทุกประเทศให้ความสำคัญ ขณะที่ล่าสุดประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างอินโดนีเซียเตรียมอัดฉีดเงินด้านการศึกษามีโครงการพัฒนาครู รวมไปถึงเพิ่มเงินเดือนให้ครูอีก 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นคำถามว่าไทยจะมองอย่างไร และมีแนวทางที่พัฒนาการศึกษาอย่างไรในวันที่โลกการศึกษามีการแข่งขันและพัฒนาอย่างรวดเร็วตลอดเวลา
จากข้อมูล งบประมาณการศึกษาไทยปี 2567 วงเงิน 4.5 แสนล้าน ใต้เงา ศธ.- อว. ,อินโดฯ จ่อทุ่มงบการศึกษากว่า 5 พันล้านดอลล์ แถมขึ้นเงินเดือนครู 100% ในปี 68 รวมไปถึง รวมไปถึงข้อมูลวิเคราะห์ของ Thai Publica สามารถวิเคราะห์และเปรียบเทียบการลงทุนและการจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาของประเทศไทยและอินโดนีเซียได้ดังนี้
ไทยจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับ GDP โดยในปี 2561 ไทยมีรายจ่ายด้านการศึกษาคิดเป็น 5% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ OECD ที่ 4.9% และเมื่อเทียบกับงบประมาณรวมของประเทศ ไทยจัดสรรงบประมาณให้กับการศึกษาสูงถึง 17.2% ในปี 2561
ขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียเตรียมจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 82.6 ล้านล้านรูเปียห์ (5,210 ล้านดอลลาร์) ในปี 2568 และเน้นย้ำว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในงบประมาณแผ่นดิน
แม้ไทยจะมีสัดส่วนงบประมาณด้านการศึกษาที่สูง แต่มีปัญหา "เงินอุดหนุนรายหัว" ที่ไม่คำนึงถึงความจำเป็นของนักเรียน ความแตกต่างของพื้นที่ และขนาดโรงเรียน ส่งผลให้งบประมาณที่สูงไม่ได้ถูกใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น โรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนน้อย ได้รับงบประมาณไม่เพียงพอต่อการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ "งบรายจ่ายลดความเหลื่อมล้ำฯ" กลับมีแนวโน้มลดลง โดยในปีงบประมาณ 2561 มีมูลค่ารวม 18,683 ล้านบาท ลดลงจากปี 2559 ที่มีจำนวน 28,000 ล้านบาท
ขณะที่อินโดนีเซีย เน้นไปที่การขึ้นเงินเดือนครูโรงเรียนรัฐบาล 100% และการให้ เบี้ยเลี้ยงครูภาคเอกชน เดือนละ 2 ล้านรูเปียห์ ซึ่งการขึ้นเงินเดือนครูจะต้องใช้งบประมาณเพิ่ม 16.7 ล้านล้านรูเปียห์ โดยครูภาคเอกชนที่ต้องการรับเบี้ยเลี้ยงต้องสำเร็จหลักสูตรการรับรองการสอนของรัฐบาล (PPG) ก่อน รัฐบาลอินโดนีเซียให้ความสำคัญกับการ "ปรับปรุงคุณภาพชีวิต" ของครู โดยมองว่าครูมีบทบาทสำคัญต่อระบบการศึกษาของชาติ
ไทยมีงบประมาณสำหรับ "การพัฒนาครู" มีเพียง 0.44% ของงบประมาณทั้งหมด คิดเป็นเงินเพียง 3,592 ล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำมาก โดยส่วนใหญ่ งบประมาณจะถูกใช้ไปกับ "การสนับสนุนการจัดการศึกษา" (82.35%) และ "การเพิ่มโอกาสทางการศึกษา" (16.67%)
ขณะที่อินโดนีเซียมีโครงการ Teaching Profession Education (PPG) ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพครู โดยรัฐบาลผลักดันให้ครูเข้าร่วมโครงการเพื่อรับใบรับรองการสอน และมีเป้าหมายให้ครูมากกว่า 800,000 คน เข้าร่วมโครงการ PPG ในปี 2568 ปัจจุบันอินโดนีเซียมีครูที่มีใบรับรอง 1.93 ล้านคน คิดเป็น 64.4% ของบุคลากรด้านการสอนของประเทศ
จุดแข็งของไทย คือมีสัดส่วนงบประมาณด้านการศึกษาต่อ GDP ที่สูง และจัดสรรงบประมาณให้กับการศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับประถมศึกษาสูงถึง 31%
จุดอ่อนคือ การจัดสรรงบประมาณยังไม่มีประสิทธิภาพ ไม่คำนึงถึงความจำเป็นของนักเรียน ความแตกต่างของพื้นที่ และขนาดโรงเรียน งบประมาณสำหรับการพัฒนาครูต่ำมาก และงบรายจ่ายลดความเหลื่อมล้ำฯ กลับมีแนวโน้มลดลง
แนวโน้มการพัฒนา ไทยควรปรับปรุงระบบการจัดสรรงบประมาณ ให้คำนึงถึงความจำเป็นของนักเรียนและบริบทของพื้นที่ เพิ่มงบประมาณสำหรับการพัฒนาครู และให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
ขณะที่อินโดนีเซีย มีจุดแข็งที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนใน "คน" คือ ครู โดยการขึ้นเงินเดือน ให้เบี้ยเลี้ยง และส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพผ่านโครงการ PPG
แนวโน้มการพัฒนาคือ อินโดนีเซียควรให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพครู
จากการเปรียบเทียบ ไทย มีจุดแข็งที่สัดส่วนงบประมาณด้านการศึกษาต่อ GDP ที่สูง แต่มีจุดอ่อนที่ประสิทธิภาพในการจัดสรรงบประมาณ และการลงทุนในการพัฒนาครูที่ต่ำ ส่งผลให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษา
ในขณะที่ อินโดนีเซีย มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพครู โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนใน "คน" คือ ครู ซึ่งเป็นแนวทางที่น่าสนใจ
อ้างอิง
กรุงเทพธุรกิจ / ฐานเศรษฐกิจ / ไทยพลับลิกา 1 / ไทยพลับลิกา 2 /
ข่าวที่เกี่ยวข้อง