SHORT CUT
‘กมลา แฮร์ริส’ รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐฯ ถูกพรรคเดโมแครตให้การรับรองอย่างรวดเร็ว เพื่อมาแทนที่ประธานาธิบดีไบเดนใน ในการลงแข่งชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีนี้ เพราะเธอเป็นคนที่ภักดีต่อพรรคเดโมแครตมาตลอด
เช่นเดียวกับไบเดน ตลอดเวลาที่แฮร์ริสอยู่ในตำแหน่ง เธอปรากฏตัวต่อหน้าประชาชนเสมอ ส่วนอุดมการณ์และนโยบายของเธอก็ไม่ต่างจากไบเดนเท่าไหร่นัก แม้ในบางกรณีเธอจะมีความคลุมเครือ อยู่บ้างก็ตาม แต่หลายฝ่ายก็มั่นใจว่า เธอสามารถทำให้ประชาชนที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตพอใจได้ เช่นเดียวกับที่ไบเดนทำ
และนี่คือสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับจุดยืนของแฮร์ริสต่อประเด็นสำคัญระดับโลกเหล่านี้
เป็นที่รู้กันทั่วว่า นโยบายที่มีชื่อเสียงที่สุดของแฮร์ริสคือให้คนที่มีมดลูกเข้าถึงการทำแท้ง และการดูแลหลังจากนั้นได้ ซึ่งพรรคเดโมแครตกล่าวว่านี่คือจุดที่แฮร์ริสมีโอกาสที่จะเอาชนะ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ได้
ในทางกลับกันไบเดนมีความอึดอัดที่จะสนับสนุนเรื่องนี้ เพราะตัวเขาเป็นชาย ที่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก แต่แฮร์ริสกลับไม่มีความลังเลนั้น และผลักดันเรื่องทำแท้งถูกกฎหมาย จนกลายเป็นนโยบายที่ทรงพลังของพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งครั้งก่อน และเธอตังโจมตีอีกว่า การที่พรรครีพับลิกันพยายามจำกัดสิทฺการทำแท้ง คือการ ทำร้ายอิสรภาพของชาวอเมริกันทุกคน
ความตั้งใจของแฮริส คือการทำให้กฎหมายทำแท้งแข็งแรงขึ้น และปฏิบัติได้ทั่วถึงทุกรัฐ เพราะที่ผ่านมาสิทธิการทำแท้งถูกทำให้หายไป เมื่อศาลสูงสุดสหรัฐฯ วินิจฉัยให้ รัฐต่างๆ สามารถออกกฎหมายต่อต้านการทำแท้งได้เมื่อปี 2022
ในปีนี้ เธอกล่าวปราศรัยที่รัฐฟลอริดาว่า ถึงประเด็นการทำแท้งว่า “นี่คือการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เสรีภาพพื้นฐานในการตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายของตนเองโดยไม่ต้องให้รัฐบาลบอกว่าพวกเราควรทำอะไร”
ในสมัยที่ ‘โจ ไบเดน’ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีช่วงแรก เขามอบหมายให้แฮร์ริสแก้ไขปัญหาการอพยพตามบริเวณชายแดน โดยเน้นให้เธอดูแลชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก
ทั้งนี้ ไม่ชัดเจนว่าแฮร์ริสอะไรสำเร็จบ้าง และเธอก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล้มเหลวในการแก้ปัญหา เพราะปัจจุบัน สหรัฐฯ เผชิญปัญหาผู้อพยพสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตั้งแต่ไบเดนบริหารประเทศ มีผู้อพยพผิดกฎหมายกว่า 6 ล้านคน ซึ่งสูง กว่าสมัยของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีนโยบายป้องกันปัญหาผู้อพยพเข้มงวดกว่านี้มาก
แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของพรรค แก้ต่างว่าบทบาทของแฮร์ริสเป็นการดูแลเบื้องลึกของปัญหามากกว่า ไม่ได้มีหน้าที่ตรวจสอบผู้อพยพตามชายแดนโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ฝั่งพรรครีพับลิกันกล่าวโทษเธอโดยตรง และต้องรับผิดชอบต่อนโยบายย้ายถิ่นที่ผิดพลาด และ ‘สตีเฟน มัวร์ (Stephen Moore) ’ ที่ปรึกษาของทรัมป์ก็เตรียมจะโจมตีเธอเรื่องนี้ ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
จุดตกต่ำสุดของไบเดนในการสำรวจความคิดเห็นส่วนใหญ่ มาจากประเด็นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะการสนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขันของของเขา ในช่วงเริ่มต้นสงครามในฉนวนกาซา ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ไบเดน เริ่มเสียคะแนนนิยมก่อนการเลือกตั้ง
ส่วนจุดยืนของแฮร์ริส หากเธอได้ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เชื่อกันว่า เธอจะวิพากษ์วิจารณ์การก่อสงครามที่เกินพอดีของอิสราเอลแอลมากกว่าไบเดน และพผลักดันให้มีการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซามากกว่านี้แน่นอน
ดูได้จากสุนทรพจน์เมื่อต้นปีของเธอ ที่กล่าวว่า “พวกเราทราบชัดเจนว่า มีชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์ถูกสังหารเป็นจำนวนมาก และอิสราเอลจะต้องทำดีกว่านี้เพื่อปกป้องพลเรือนผู้บริสุทธิ์”
ทั้งนี้ ‘แมกซ์เวลล์ ฟรอสต์ (Maxwell Frost) ’ ส.ส.พรรคเดโมแครตจากฟลอริดา กล่าวว่า “แม้เธอจะไม่ได้ประกาศความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศไว้ชัดเจน แต่เธออาจแก้ปัญหาได้ เพราะเธอไม่ได้เป็นคนเริ่มมันตั้งแต่แรก”
เมื่อแฮร์ริสลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2020 เธอได้รณรงค์หาเสียงในเรื่องการลดหย่อนภาษีครั้งใหญ่สำหรับชนชั้นแรงงาน เครดิตภาษีสำหรับผู้เช่าบ้าน และการขยายขอบเขตของ ระบบหลักประกันสุขภาพ ให้กว้างขึ้น
ส่วนในตอนนี้ ผู้สังเกตการณ์หลายคนคาดว่านโยบายเศรษฐกิจของแฮร์ริส จะเดินหน้าต่อจากที่ไบเดนเคยทำไว้เป็นส่วนใหญ่ เพราะสมาชิกอาวุโสของพรรคเดโมแครต 2 คนที่ไม่เปิดเผยชื่อ ยืนยันว่าแฮร์ริส สนับสนุนไบเดนทุกอย่าง และไม่เคยแทบจะคัดค้าน เช่น นโยบายกำหนดเพดานค่าเช่าหรือการผ่อนปรนหนี้ของนักศึกษาจำนวนมาก
ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายบางคนที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับแฮร์ริส คาดหวังว่าเธอจะเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นเรื่องนโยบายการดูแลเด็ก การดูแลผู้สูงอายุ และการดูแลผู้พิการที่บ้าน
ส่วนสิ่งที่ แฮร์ริส ไม่เห็นด้วยกับไบเดน คือ การให้สหรัฐฯ กลับไปเป็นสมาชิกของ Trans-Pacific Partnership (TPP) หรือ ‘ข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก’ ที่ช่วยเพิ่มข้อตกลงการค้าเสรีของประเทศในแถบแปซิฟิก ซึ่งการเข้าร่วมของสหรัฐฯ อาจทำให้ต้องย้ายฐานการผลิตไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์กับชาวอเมริกัน
แฮร์ริสมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาตลอดชีวิตการทำงาน เธอได้จัดตั้งสำนักงานยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม ขณะอยู่ตำแหน่งอัยการเขตในซานฟรานซิสโก และเมื่อได้เป็นอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนีย เธอได้ฟ้องร้องบริษัทน้ำมันเพื่อควบคุมมลพิษ และตำแหน่งในวุฒิสภา เธอได้ลงนามในข้อตกลงกรีนนิวดีล (Green New Deal) ซึ่งเป็นแผนการอันทะเยอทะยานที่จะเร่งปฏิรูปสังคมและเศรษฐกิจ ไปสู่สังคมพลังงานสะอาด
นอกจากนี้ ในปี 2022 เมื่อแฮร์ริสลงแข่งขันกับไบเดนเพื่อชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครต เธอสนับสนุนให้ยกเลิกการขุดน้ำมันแบบ fracking ที่กระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในขณะที่โจไบเดน เสนอนโยบายควบคุมเท่านั้น ไม่ได้สั่งให้ยกเลิก
ส่วนความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของแฮร์ริสร่วมกับพรรคเดโมแครต คือการที่สภาผ่านร่างกฎหมายการใช้จ่าย ในปี 2022 ซึ่งมี เงิน 370 พันล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมความคิดริเริ่มด้านพลังงานสะอาด ซึ่งแฮร์ริสเป็นผู้ลงคะแนนเสียงชี้ขาดเพื่อผลักดันกฎหมายดังกล่าว
นั่นจึงทำให้ แฮร์ริส ได้รับการสนับสนุนจาก องค์กรสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอด เช่น กลุ่ม Evergreen Action และ กลุ่ม Sunrise Movement และคนจำนวนมากยังเชื่อว่าเธอเป็นผู้ตัดสินใจแทนพรรค ในประเด็นสำคัญต่างๆ อีกด้วย
เธอได้จัดตั้งสำนักงานยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อมในตำแหน่งอัยการเขตในซานฟรานซิสโก ในฐานะอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนีย เธอได้ฟ้องร้องบริษัทน้ำมันเพื่อควบคุมมลพิษ และในวุฒิสภา เธอได้ลงนามในข้อตกลงกรีนนิวดีล ซึ่งเป็นแผนอันทะเยอทะยานที่จะเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจพลังงานสะอาด
เรียบเรียงจาก : The Washington Post
ข่าวที่เกี่ยวข้อง