svasdssvasds

“โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้” ภูมิปัญญาของเล่นพื้นบ้าน นวัตกรรมสร้างสรรค์

“โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้” ภูมิปัญญาของเล่นพื้นบ้าน นวัตกรรมสร้างสรรค์

“โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้” เป็นอีกหนึ่งพื้นที่การเรียนรู้ ที่ทุกคนเข้ามาเรียนรู้แล้ว "มีความสุข สนุกสนาน เบิกบาน มีชีวิตชีวา"

"โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้" ริเริ่มก่อตั้งขึ้นโดยพ่อปุ๊–วีรวัฒน์กังวานนวกุล ผู้อำนวยการโรงเล่นเรียนรู้ นักการศึกษา นักพัฒนาสังคม และยังเป็นคุณพ่อที่จัดการศึกษาทางเลือกในรูปแบบโฮมสคูลให้กับลูกชายสองคนอีกด้วย โดยเขามองว่า “เด็กเติบโตได้ด้วยการเล่น” การเล่นไม่เพียงแต่จะให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาและครอบครัวได้เติบโตไปพร้อมๆ กันด้วย โดยการรื้อฟื้นและถ่ายทอดภูมิปัญญาจากคนรุ่นเก่าในชุมชนไปสู่ผู้เรียนรุ่นใหม่ และขยายพื้นที่การเรียนรู้ให้กับเด็กๆ ไปในหลายๆ พื้นที่ หลายๆ ชุมชน

คนเฒ่าคนแก่ภูมิใจ ที่ยังมีคนมองเห็นคุณค่า ในขณะที่เด็กๆ สนุกมีชีวิตชีวา ได้เรียนรู้ผ่านการเล่น

"โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้" จึงเป็น "เลิร์นนิ่งสเปซ" ที่เต็มไปด้วย "ของเล่นพื้นบ้าน" ที่ทำผลิตภัณฑ์จากไม้ ของเล่นนวัตกรรม มีพื้นที่สร้างสรรค์ให้เด็กมาเรียนรู้ และมีนิทรรศการเล่นได้ โดยเปิดบริการทุกวันเสาร์-อาทิตย์ให้เด็กๆ เข้ามาเล่นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย มีทั้งเด็กในชุมชน เด็กโฮมสคูล เด็กนักเรียนโรงเรียนนานาชาติ เด็กๆ นักเรียนจากต่างจังหวัด รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างพากันเดินทางมาเล่นและเรียนรู้กันอย่างต่อเนื่อง

ภายในพื้นที่โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้มีทั้งสนามเด็กเล่น ให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่น ปีนป่าย ภายในโรงเล่น ยังเต็มไปด้วยพื้นที่การเรียนรู้ที่หลากหลาย มีทั้งมุมอ่านหนังสือ มุมเล่นบอร์ดเกม ห้องปฏิบัติการทดลองการเรียนรู้ และที่ขาดไม่ได้คือ มีของเล่นพื้นบ้าน ที่พ่อเฒ่าแม่เฒ่าช่วยกันรื้อฟื้น ลงมือทำ และถ่ายทอดส่งต่อให้ลูกหลาน ซึ่งมีของเล่นพื้นบ้านมากมาย เช่น ลูกข่างโว้ ลูกข่างสะบ้า สัตว์ล้อต่างๆ สัตว์ชัก พญาลืมแลง พญาลืมงาย เต่ากระต่ายวิ่ง กำหมุน จานบิน โหวด อมรเทพ ครกมอง ควายกินหญ้า งูดูด คนตำข้าว กังหันลม เป็นต้น

ในพื้นที่อีกส่วนหนึ่งของโรงเล่น ได้ถูกนำมาจัดแบ่งเป็นร้านขายของผลิตภัณฑ์จากชุมชนอีกด้วย อาทิ ของเล่นของกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ ผ้าฝ้ายทอมือย้อมสีธรรมชาติ ผ้าพันคอ ผ้าขาวม้า กระเป๋า เสื้อยืด โปสการ์ด พวงกุญแจ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร หนังสือผ้า เป็นต้น ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งยังแบ่งมาเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในพิพิธภัณฑ์อีกด้วย

กว่าจะมาเป็น "โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้"

วีรวัฒน์ บอกเล่าว่า กว่าจะมาเป็นโรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้ เราต้องเริ่มต้นเรียนรู้ วิเคราะห์ชุมชน ลงพื้นที่เก็บข้อมูล เพราะว่า ทุกชุมชนนั้นเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม ผู้คน ภูมิปัญญาและความรู้ อยู่รอบตัวเรา

“จำได้ว่า เราเริ่มทํางานพร้อมๆ กับการปฏิรูปการศึกษา ปี 2542 ตอนนั้น คนมารู้จักของเล่นพื้นบ้าน ผ่านกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ พอรู้จักผ่านสื่อ คนเห็นก็นึกว่าภูมิปัญญามาจากคน แต่พอเรามองเรื่องภูมิปัญญาหรือองค์ความรู้ ถ้าไปยึดติดที่ตัวบุคคล การเรียนรู้จะไม่เกิด เพราะว่าจริงๆ แล้วเบื้องหลังของตัวบุคคลนั้น มันมีเรื่องอื่นๆ อีก เราเลยพยายามถอดรหัสให้ทุกชุมชนนําไปใช้ แล้วสามารถสร้างพื้นที่แบบโรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นที่อื่นๆ ได้ เราก็ถอดรหัส แล้วพบว่า ตัวของเล่นพื้นบ้านนั้น นอกจากคนแล้ว มันมีองค์ประกอบอื่นๆ อีก อันแรกก็คือตัววัสดุท้องถิ่นในธรรมชาติ”

วีรวัฒน์ จึงเริ่มต้นด้วยการปลูกป่า ปลูกต้นไม้ใกล้ชุมชน เอาไว้รองรับการทำของเล่นพื้นบ้านขึ้นมา

“นอกจากเรามีผืนป่าใกล้ ๆ โรงเล่นแล้ว  เรายังมีการปลูกป่าขยายเพิ่ม เพื่อเป็นเหมือนพื้นที่ทดลอง ผมคิดว่า เวลาเราเรียนวิทยาศาสตร์ ก็ต้องมีห้องทดลอง แต่ว่าพอเราทําเรื่องสิ่งแวดล้อม กลับไม่มีห้องให้ทดลอง ก็จะพูดถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมในรูปแบบหนึ่ง เราคิดว่า เอ๊ะ ถ้างั้นมาปลูกป่า เรามีหมากไม้หลายชนิด สมมุติเราทดลองปลูกพืชหลากหลายชนิด ก็สามารถนํากลับมาใช้ได้ 

“ตัวเครื่องมือ” ทําให้เกิดของเล่นพื้นบ้าน

วีรวัฒน์ เล่าว่า ตัวเครื่องมือก็มีความสําคัญ แน่นอน เพราะว่ายุคแรกๆ ที่เราทําของเล่น เราใช้มีดเหลาเล่มเดียว ใช้เลื่อย ใช้อุปกรณ์เหล่านี้นั่งทํากับคนเฒ่าคนแก่ 

“เรารู้จักผู้สูงอายุ พ่ออุ้ยแม่อุ้ยบ้านไหน มีเครื่องมือที่เหน็บไว้ฝาผนังบ้าน เราก็สันนิษฐานว่าหลังนั้นต้องเป็นจอมยุทธ์ พอจะทํางานคราฟท์ได้แน่ๆ อันนี้เป็นข้อสังเกตของคนทํางานว่าต้องมีฝีมือ คนไหนไม่มีเครื่องมือ อาจจะไม่มีทักษะตรงนี้ แต่ระยะยาวต่อมา มีการพัฒนาแล้ว ความรู้เหล่านี้มันเติมเต็มกันได้”

ภูมิปัญญา สามารถถ่ายทอดความรู้ส่งต่อกันได้

วีรวัฒน์ บอกว่า สถานการณ์ของสังคมไทยที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มักถูกทําให้เชื่อและถูกทําลายมากกว่าที่จะส่งเสริม ดังนั้น ถ้าเราใส่หมวกนักการศึกษา เราจะสงสัยว่า นี่ใช่การเรียนรู้หรือไม่บางทีมันจึงไม่ได้ต่างอะไรกับการท่องจําในระบบ แต่พอเราลงมือทำ เด็กเราพัฒนาของเล่นหรือว่าเราจินตนาการที่ทําของเล่นไม่เหมือนกับผู้สูงอายุได้ ซึ่งตนมองว่า นี่แหละที่กลายเป็นความคิดสร้างสรรค์ เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ

 ต่อมา ทางพิพิธภัณฑ์บ้านฝิ่นที่ อ.เชียงแสน ให้ทุนเรามาตั้งต้น เอามาทดลองทําโฮโลแกรม เป็นเครื่องฉายภาพคนสูบฝิ่น เราก็ไปถ่ายภาพคนสูบฝิ่น แล้วก็ทํามาเป็นเครื่องโฮโลแกรมเครื่องนี้พอมองลอดช่องเข้าไปก็จะเห็นภาพสามมิติ เด็กๆ เห็น ก็เกิดการเรียนรู้

ดังนั้น ของเล่นพื้นบ้านทุกชิ้น รวมถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จัดวางไว้ในโรงเล่น เราพยายามออกแบบให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ พื้นที่ปลอดภัย พื้นที่ปลายเปิด ที่ทุกชุมชนน่าจะมีและทํากันขึ้นมาเอง คือเราไม่ได้อยากให้คนเขามาเที่ยวที่นี่เยอะๆ หรือเข้ามาใช้บริการบ่อยๆ แต่อยากให้เข้ามาแล้วกลับไปคิด ไปลงมือทําเพราะเราคิดว่า ถ้าเราทําได้ ใครๆ ก็ทําได้

ของเล่นเป็นตัวกลางเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างวัย

วีรวรรณ  กังวานนวกุล หรือครูจิ๋ว นักออกแบบกระบวนการเรียนรู้ โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้ เล่าว่า เพราะเราเชื่อว่ามนุษย์ต้องมีการเรียนรู้ และการเรียนรู้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ โรงเล่นที่นี่ เราจึงเน้นการเล่นโดยใช้ของเล่นเป็นตัวกลางในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างวัย เป็นพื้นที่เปิดสำหรับทุกคนที่มาร่วมกันดูแลเด็กๆ

ทุกวันนี้มีคนทุกวัยเข้ามาใช้บริการ และคนทุกวัยก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการเรียนรู้ทั้งเรื่องทักษะชีวิต สังคม วัฒนธรรม ภูมิปัญญา บูรณาการการเรียนรู้ และต่อยอดนวัตกรรม

เชื่อมโยงโรงเล่น ให้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระบบ

วีรวรรณ บอกว่า ที่ผ่านมา เราสามารถชักชวนเด็กในระบบโรงเรียนเข้ามาเชื่อมโยงกับโรงเล่น มีเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ประถม มัธยมในพื้นที่อำเภอแม่สรวย เข้ามาร่วมกิจกรรมเรียนรู้กันอย่างต่อเนื่อง

แต่ในมุมมองของนักออกแบบกระบวนการเรียนรู้ โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้ มองว่า จะทําอย่างไรถึงจะให้กิจกรรมของโรงเล่น ได้เป็นเรื่องหลักที่นำไปอยู่ในหลักสูตรการเรียนรู้ของโรงเรียนและสามารถประเมินผลการเรียนรู้ของเด็กๆ ได้

 ดังนั้น เราต้องมาตั้งหลักกับระบบการศึกษาไทยใหม่ทั้งหมด ว่าหน้าที่ของครูมีหน้าที่ทําอะไร แล้วก็ในฐานะที่เด็กๆ มาใช้พื้นที่ เด็กๆ ได้เล่นอิสระอย่างเต็มที่ คุณครูต้องเห็นว่า เบื้องหลังหรือผลลัพธ์นี้ มันส่งผลต่อพัฒนาการเชิงบวกด้วย สามารถเอาแนวคิดนี้กลับไปทําที่โรงเรียนได้ด้วย

สนับสนุนนโยบายคูปองการศึกษา สำหรับเรียนรู้นอกห้องเรียน

ทั้งนี้ นักออกแบบกระบวนการเรียนรู้ โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้ยังได้พูดถึงนโยบายคูปองการศึกษา หรือคูปองเปิดโลก สำหรับเรียนรู้นอกห้องเรียนของพรรคก้าวไกล ว่า ถ้าทำได้จริงในอนาคต ก็จะเป็นผลดีต่อผู้เรียน และยังเป็นการส่งเสริมสนับสนุนการทำกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละท้องถิ่นได้อีกด้วย

โดยนโยบายดังกล่าว ระบุไว้ว่า แจกคูปองพัฒนาการเรียนรู้ตามช่วงวัยให้กับเด็กอายุ 7-18 ปี เพื่อใช้สำหรับการเรียนรู้ฝึกฝนทักษะเพิ่มเติมภายนอกโรงเรียน ตลอดจนกิจกรรมสร้างสรรค์ และกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ แบ่งเป็น ระดับประถมปีละ 1,000 บาท / ระดับมัธยมปีละ 1,500 บาท / ระดับอุดมศึกษาปีละ 2,000 บาท

เชื่อมร้อยเครือข่ายหน่วยงานในพื้นที่ ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้

วีรวรรณ บอกว่า ที่ผ่านมา ทางโรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้ ได้ทำงานขับเคลื่อนร่วมกับองค์กรหน่วยงานในพื้นที่อำเภอแม่สรวย จนได้รับการยอมรับ และเข้ามาร่วมกันหนุนเสริมกันอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด นายอำเภอแม่สรวยและตัวแทนคณะทำงานขับเคลื่อน EF อำเภอแม่สรวยก็ได้ลงพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต้นทุนการทำงานดูแลพัฒนาเด็กด้วยการสร้างทักษะสมอง EF ณ โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้ จากนั้นไปรับฟังรายงานการทำงานของโรงเล่นร่วมกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.ป่าแดด ในโครงการก่อการเล่น ที่สนับสนุนการเล่นในครอบครอบครัวด้วยความผูกพันและพลังแห่งการเล่นและการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเด็กของคณะคุณครู

หลังจากนั้น เดินทางไปลานเล่น บ้านสันกลาง ตำบลแม่สรวยหนึ่งในโปรแกรมพื้นที่ความผูกพันลานเล่นเพื่อทุกคน (LSI)  ที่โรงเล่นทำงานร่วมกับเทศบาลตำบลเวียงสรวย และชุมชนบ้านสันกลาง เพื่อให้กำลังใจคณะทำงานโดยชุมชนที่ร่วมแรงร่วมใจสร้างพื้นที่ดี ๆ ให้กับเด็กและครอบครัวได้เข้าถึงการเล่นใกล้บ้าน”

ทั้งนี้ ในวงพูดคุยแลกเปลี่ยน ได้มีการฉายภาพยุทธศาสตร์ระยะสั้น 1-2 ปี ที่ อ.แม่สรวย อยากไปให้ถึง มี 2 เรื่อง ดังนี้ 1. ผู้นำชุมชนท้องที่ ท้องถิ่น ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน เข้าใจเรื่องการสร้างทักษะสมอง (Executive functions: EF) อย่างลุ่มลึกและเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนในการสร้าง EF ในเด็กโดยครอบครัวและผู้ดูแล 2. มีพื้นที่นำร่องต้นแบบระดับชุมชน ที่ทำงานสร้าง EF ในเด็ก ในลำดับต่อไปทางนายอำเภอจะนัดคณะทำงานชุด 20 คน มาสร้างยุทธศาสตร์แนวทางการทำงาน ก่อนเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการที่จังหวัดต่อไป

ขยายองค์ความรู้ ต่อยอดแนวคิด

นอกจาก จะทำงานจัดกระบวนการเรียนรู้ภายในพื้นที่อำเภอแม่สรวยแล้ว ล่าสุด ทางโรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้ ยังได้ขยายองค์ความรู้ ต่อยอดแนวคิดสร้างพื้นที่การเรียนรู้ไปอีกหลายพื้นที่หลายจังหวัดด้วยกันด้วย

วีรวรรณ บอกว่า ตอนนี้ เราขยายแนวคิดนี้ไปอีกหลายชุมชนหลายพื้นที่ หลายจังหวัด เช่น เครือข่ายนิเวศลุ่มน้ำทา จ.ลำพูน, ลานเล่นในสวนปาล์ม” โดยกลุ่มละอ่อนโฮม ภูซาง อ.ภูซาง จ.พะเยา, พื้นที่เล่น พื้นที่กลางของคนตำบลบ่อแก้ว” โดยสถานีอนามัยบ่อแก้วฯ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่,ลานเล่น ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนลานต้นตาล โดยเทศบาลตำบลมะเขือแจ้ จ.ลำพูน เป็นต้น

“ซึ่งจริงๆ เราอยากให้มีพื้นที่การเรียนรู้แบบนี้ขยายไปอยู่ทุกชุมชน โดยทางเรายินดีไปช่วยหนุนเสริมเรื่องแนวคิดว่าทำอย่างไรถึงจะให้เข้าถึงทุกคน มีความยั่งยืน และที่สำคัญให้ชุมชนและกลไกท้องถิ่นเข้ามาสร้างความมีส่วนร่วมด้วยกัน มาช่วยกันทำลานเล่นที่สนุกที่เกิดจากฝีมือของปราชญ์ท้องถิ่น ครูภูมิปัญญา ใส่ความคิดสร้างสรรค์ ให้ความสำคัญต่อการเล่นของเด็ก สร้างพื้นที่ท้าทายให้เด็ก ๆ ได้มีพื้นที่ดีๆ ในการเติบโต เพราะเด็กๆ ต้องการรู้ว่าโลกนี้น่าอยู่ สนุก และมีผู้ใหญ่คอยสนับสนุนให้พวกเขาได้เติบโตอย่างเป็นสุขและปลอดภัย ได้รับความรักที่มีความหมาย ได้กอดผู้ปกครองแน่น ๆ และได้ทำอะไรร่วมกัน โดยทางโรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้ ยินดีที่จะเป็นหนึ่งในนิเวศการดูแลเด็กของชุมชน”

ที่มา : รายงานพิเศษจากโครงการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพสื่อท้องถิ่นในประเด็นเศรษฐกิจฐานรากและนวัตกรรม สหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย ร่วมกับ The Opener

related