SHORT CUT
ทนายตั้ม หอบหลักฐานส่วย ให้ ‘บิ๊กเต่า’ ตรวจสอบข้อเท็จจริง ยังไม่แจ้งความ 157 จ่อแฉข้อมูลเพิ่มสัปดาห์หน้า ขณะที่ บิ๊กเต่า ระบุ หลักฐานเป็นวิทยาศาสตร์ ตรวจสอบอย่างเท่าเทียม ยืนยันหากผิด ‘ใหญ่แค่ไหนก็จับ ไม่มีใครใหญ่กว่าห้องขัง ไม่เคยเลียตูดนายเพื่อความเจริญก้าวหน้า’
ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด เดินทางมายัง กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อนำเอกสาร หลักฐาน และเส้นทางการเงิน ที่ได้มีการแถลงข่าเปิดโปงขบวนการรับส่วย ซึ่งเชื่อมโยงพาดพิงไปถึงระดับบิ๊กตำรวจ มาส่งมอบให้กับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง
โดยทนายตั้ม บอกว่า วันนี้ที่ยังไม่มีการแจ้งความ ม.157 แต่เป็นการส่งมอบหลักฐานเพื่อให้ตำรวจไปดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะกลัวว่าหากแจ้งความจะมีระยะเวลา 1 เดือนแล้ว แล้วต้องส่งสำนวนให้ ปปช.ภายใน30วัน ซึ่งก็กังวลว่าอาจจะไม่มีอะไรคืบหน้า และถูกส่งสำนวนไปแบบไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงของเส้นทางการเงิน
จึงอยากให้พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ไปตรวจสอบเส้นทางการเงินทุกเส้นที่ได้แถลงไปก่อนหน้านี้ ว่ามีการโอนเงินไปให้กับบิ๊กตำรวจ ญาติ และวัด จริงหรือไม่ และสลิปเป็นของจริงหรือไม่ แล้วทำไมต้องโอนไปทุกเดือน เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงว่าสิ่งที่ออกมาแถลงเป็นข้อเท็จจริงส่วนผู้กระทำความผิดก็ต้องให้ไปสืบสวนต่อ เมื่อได้เส้นเงินมาอย่างถูกต้อง จากนั้นก็จะได้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ซึ่งหลักฐานที่นำมายื่นในวันนี้ มีทั้งเส้นทางการเงินของพิมพ์วิไล ผู้ต้องหาในคดีเว็บพนัน และข้อมูลแชทการสนทนาหลักฐานต่างๆ
ส่วนเรื่องสายลับที่ให้ข้อมูลกับตนเองมา ก็เป็นตำรวจ แต่ไม่ประสงค์ออกนาม ซึ่งเขาไม่โอเคกับระบบจึงออก แต่ข้อมูลที่เขาให้มาก็คือเป็นเลขบัญชีส่วนรายละเอียดอื่นๆ ตนเองมีทีมในการทำและต้องให้ทางตำรวจที่รับเรื่องวันนี้เป็นคนขยายผลต่อ หากพบว่าเป็นข้อเท็จจริง ก็ต้องไปขอข้อมูลเพิ่มเติมจากทางธนาคารและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ขณะที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ได้รับหลักฐานจากทนายตั้ม ไว้ดำเนินการ พร้อมบอกว่า ได้รับอนุญาตจากผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเรียบร้อยแล้ว โดยหลังจากนี้จะส่งพยานหลักฐานที่ได้รับจากทนายตั้มไปให้ บก.ปปป.และตรวจสอบข้อเท็จจริงภายใน 30 วัน รวมถึงตรวจสอบเส้นเงินว่ามีความเชื่อมโยงไปถึงบุคคลใดบ้าง รวมถึงเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำเพื่อลงรายละเอียดในสำนวนการสอบสวน แต่สำนวนนี้จะยังไม่ส่งไปยัง ป.ป.ช.เนื่องจากทนายตั้มยังไม่ได้แจ้งความดำเนินคดีในความผิดตามมาตรา 157 และ 149 และเมื่อเอกสารมีข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ก็จะมีการขยายผลไปตามเส้นทางการเงินต่างๆ ตามที่ทนายตั้มร้องขอ และจะดำเนินการควบคู่กันไป เพราะหลักฐานที่นำมาให้ก็เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีใครสามารถบิดเบือนประเด็นได้ จึงอยากให้สบายใจตรงนี้ และหากมีความเชื่อมโยงไปถึงใครก็จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ส่วนประเด็นที่บอกว่าตำรวจมีข้อมูลนี้อยู่แล้วหรือไม่นั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า ตนยังไม่เห็นเอกสารของทนายตั้ม จึงไม่สามารถแจ้งได้ว่าตำรวจมีอยู่แล้วหรือไม่ ทั้งนี้ตามหน้าที่เรื่องเส้นเงินต่างๆก็เป็นเรื่องของการตรวจสอบข้อเท็จจริง ใครผิดก็คือผิดถูกก็คือถูก
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยังบอกด้วยว่า เรื่องเส้นเงินต่างๆก็เป็นเรื่องของการตรวจสอบข้อเท็จจริง ใครผิดก็คือผิดถูกก็คือถูก พวกเรามีอาชีพตำรวจ ทำงานแบบตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายไม่เคยหนักใจอะไรที่จะทำคดีอะไร เพราะว่าเป็นหน่วยงานที่ต้องรับเรื่องจากทั่วประเทศอยู่แล้ว และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องรับเรื่อง ไม่ต้องกลัวว่าที่นี่จะลำเอียง จะให้ความเป็นธรรมกับทุกคนเท่าเทียมกัน
ซึ่งต้องขอขอบคุณทนายตั้มที่นำข้อมูลมาให้ ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำความสะอาดบ้านตัวเอง และก็ต้องบอกว่าทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่มีคำนิยามว่ายศใหญ่ยศเล็กทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกคนสามารถเดินเข้ามาได้แค่หลักฐานอันเดียวก็สามารถจับนักการเมืองใหญ่ๆได้ วันนี้ทนายตั้มนำหลักฐานมาให้ ตนก็ดำเนินการตามหลักฐานทุกขั้นตอน ยืนยันไม่มีข้อขัดแย้งอะไรทั้งนั้น บ้านเมืองต้องอยู่ด้วยกฎหมาย
ส่วนกรณีที่ หลายคนมองว่าพล.ต.ตจรูญเกียรติ เป็นเด็กบิ๊กต่อ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า
“ผมเติบโตมาจากการทำงานโดยเฉพาะ ไม่เคยเลียตูดนายเพื่อความเจริญก้าวหน้า ผมโตมาด้วยสองมือสองขาและสมองของผม ผมทำงานตามอุดมการณ์และตามความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย ผมไม่ได้เป็นเด็กบิ๊กต่อหรือคนอื่นๆ ทุกคนจะรู้ว่าผมทำงานเพื่อส่วนรวมมาทั้งชีวิต ผมมีอุดมการณ์ของผมที่จะเดิน ผมจะอยู่ตรงนี้เพื่อความถูกต้องและความเป็นธรรม”
เมื่อถามว่า ถ้าพบนายตำรวจระดับใหญ่เกี่ยวข้องจะและพบความผิดจริง ไม่ว่าใหญ่แค่ไหนก็จับใช่หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า ต้องบอกว่า
“ไม่มีใครใหญ่กว่าประตูห้องขัง ทุกคนเข้าไปพีกผ่อนได้สบาย ใหญ่แค่ไหนก็จับ ไม่มีลำเอียง ยากจกหรือขุนนาง เราเป็นตำรวจก็ว่าไปตามข้อเท็จจริง ไม่มีใครช่วยใครเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่”
ทนายตั้ม ยังให้สัมภาษณ์ ถึงประเด็นที่วันพรุ่งนี้ทีมทนายทนายความของพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล จะไปฟ้องร้องตนเองที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ฐานหมิ่นประมาทนั้น ด้วยว่า เบื้องต้นได้รับทราบแล้วและรู้ว่าใครคือทีมทนาย ซึ่งบุคคลดังกล่าวเคยฟ้องร้องกับตัวเองมาแล้ว 6 คดีแต่ศาลยกฟ้องทุกคดี พร้อมเตือนไปยังผบ. ตร.ขอให้คิดดี ๆ คิดใหม่ จากนั้นทนายตั้มได้พูดชื่อของนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ว่าเป็นผู้ที่เคยฟ้องร้องในคดีหมิ่นประมาทกับตนเองและตนเองชนะทุกคดีแต่ไม่เคยได้รับเงินชดใช้ตามที่ศาลมีคำสั่ง
ทนายตั้มยังฝากไปถึงนายอัจฉริยะให้ออกมายืนข้างประชาชนดีกว่า อย่าไปออกรับแทนตำรวจ พวกนั้นเลย ให้มายืนคู่กันแฉเรื่องส่วยดีกว่า พูดเองยังขนลุกเลย
สำหรับประเด็นที่สมาคม ตนต้องบอกว่าสมาคมไม่ได้เกี่ยว แต่เป็นเรื่องของตัวบุคคลที่เป็นอุปนายกที่เพิ่งจะหมดวาระไป มีการรับเงินจากบัญชีม้าสายเดียวกับบิ๊กตำรวจหลายคน เห็นว่ารับมาตั้งแต่ปี 2020 และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเดือนละ 30,000 ถึง 50,000 บาท ตนจึงมีคำถามว่าทำไมต้องจ่ายเป็นรายเดือน จ่ายเพื่อที่จะปิดบังเรื่องไม่ดีอะไรไปหรือไม่
นอกจากนี้ อยากให้จับตาดูอาทิตย์หน้า ว่าตนเองจะทำอะไรต่อไป แต่บอกไว้ก่อนว่าวันเสาร์นี้ตนจะไปทำบุญที่วัดวัดหนึ่งตอน 10 โมงเช้า ถ้าว่างก็ขอเรียนเชิญนักข่าวทุกคนให้ไปอนุโมทนาบุญกับตนด้วย
จากนั้นทนายตั้ม ได้เข้าไปให้ข้อมูลกับตำรวจ นานกว่า20นาที และได้บอกสั้นๆว่า ตอนนี้เชื่อมั่นในพล.ต.ต.เจริญเกียรติเพิ่มขึ้นเป็น 70% จากเดิม 40% และจะเข้ามาให้ข้อมูลกับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ อีกครั้ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง