SHORT CUT
สั่งฟ้อง 14 ผู้ต้องหาคดีพนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ เอี่ยวลูกน้องบิ๊กโจ๊ก
พล.ต.ต.ไพโรจน์ เตรียมฟ้องพนักงานสอบสวน ปล่อยสำนวนการสอบสวนสู่โซเชียล
บิ๊กโจ๊ก ยินดีให้ความร่วมมือ ยืนยันสาวไม่ถึงตน เพราะไม่มีเส้นทางการเงินเกี่ยวข้อง
“บิ๊กโจ๊ก” ยืนยัน คดีเว็บพนันมินนี่ ไม่มีความผิดเชื่อมโยงถึงตน มั่นใจเอาผิดไม่ได้เพราะไม่มีเส้นทางการเงินเกี่ยวข้อง ยังไม่ทราบเรื่องหมายเรียกหรือไม่ ยินดีให้ความร่วมมือ ระบุเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการแต่งนิทาน เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ เป็นยุทธวิธีดิสเครดิต
คดีเว็บพนันมินนี่ได้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลังพนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต มีความเห็นสั่งฟ้อง 14 ผู้ต้องหาคดีเว็บพนันออนไลน์เครือข่าย มินนี่ เป็นตำรวจ 8 นาย ซึ่ง 1 ในจำนวนนี้ คือ พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย ลูกน้องคนสนิท บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และพลเรือนอีก 6 คน
ล่าสุด พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ นายกสมาคมพนักงานสอบสวน อดีตที่ปรึกษา "บิ๊กโจ๊ก" และมีชื่อตกเป็นผู้ต้องหาด้วย ได้มีการตั้งโต๊ะแถลงข่าว ย้ำว่า เป็นการดิสเครดิต "บิ๊กโจ๊ก" พร้อมเรียกร้องให้พนักงานสอบสวนทั่วไทยแสดงจุดยืน หลังทีมสอบสวนคดีดังกล่าว ปล่อยสำนวนการสอบสวนสู่โซเชียล เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของระบบ เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้ ควรเป็นความลับทางคดี และเตรียมฟ้องร้องดำเนินคดี กับพนักงานสอบสวนชุดดังกล่าวเป็นรายบุคคลต่อไป
ทั้งนี้ พล.ต.ต.ไพโรจน์ ยอมรับว่า เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ให้กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ค่าตอบแทน เดือนละ 50,000 บ. ยืนยันว่า ไม่ทราบว่าเงินที่ได้จะเป็นเงินที่ผิดกฎหมายและยังมีอีกหลายคนที่ได้รับเงินจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งการถูกดำเนินคดี ความผิดมูลฐานฟอกเงิน จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเงินได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย แต่พนักงานสอบสวนกลับไม่เรียก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้าให้ข้อมูลในฐานะพยาน
ด้าน พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ปรากฎข่าวว่าตนเองถูกดำเนินคดีในคดีไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันมินนี่ โดยบอกว่า ที่ผ่านมามีกระแสข่าวหลายอย่างมาก ตนจึงจะขออธิบายว่า ต้นเรื่องนี้ เป็นการโยงคดีเว็บพนันมาถึงลูกน้องตน 8 คน โดยมีการดำเนินคดี ตอนนี้ได้มีการสั่งฟ้องและส่งสำนวนไปที่พนักงานอัยการแล้ว ซึ่งในระหว่างที่สำนวนอยู่กับพนักงานอัยการ จะตัดอำนาจการสอบสวนของตำรวจทันที การจะสอบสวนได้ ต้องให้พนักงานอัยการเป็นผู้สั่งสอบเพิ่มเติมเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ก็มีความเห็นสั่งสอบเพิ่มเติมของพนักงานอัยการถูกปล่อยหลุดออกมาอยู่ตลอด
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า คนที่ฟังเรื่องนี้ต้องตั้งจิตให้เป็นกลาง การปล่อยข่าวแบบนี้ถือเป็นการปล่อยความลับในสำนวน ดังนั้น หัวหน้าพนักงานสอบสวนเป็นใคร ก็ต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นการที่ทำให้กระบวนการสอบสวนเสียหาย ซึ่งลูกน้องตน 8 คนได้มีการยื่นฟ้องคดีอาญาฐานทุจริตไปแล้ว เป็นระดับพลตำรวจเอก 2 คน ไปจนถึงคณะพนักงานสอบสวน และได้มีการร้องไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอให้เปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวน แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการ และวันพรุ่งนี้ (20 ก.พ. 67) ลูกน้องตน 1 ใน 8 คนก็จะไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ให้ดำเนินคดีอาญา 157 กับผู้กำกับการท่านหนึ่งที่มีการโทรศัพท์ไปโน้มน้าวให้ให้การอย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยเรื่องนี้ เหมือนเป็นการเล่านิทาน พอเอาเว็บพนันมาผูกกับลูกน้องตน 8 คน ก็พยายามจะโยงหาตนต่อ ซึ่งต้องชี้แจงว่า การที่จะมีความผิดเกี่ยวกับเว็บพนันนั้น เส้นทางการเงินก็ต้องเป็นเงินที่มาจากการทำเว็บพนัน ไม่ใช่การโอนเงินไปมาในชีวิตประจำวัน แล้วมาบอกว่าเป็นเงินเว็บพนัน ตนสงสารลูกน้องที่ตั้งใจทำงาน จะต้องรู้สึกอย่างไร เพราะตนไม่ได้ดูแลด้านไซเบอร์ ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการปราบปรามเว็บพนัน ตนดูเรื่องค้ามนุษย์ ในเมื่อไม่มีผลประโยชน์ แล้วใครจะมาจ่ายเงินค่าเคลียร์ให้ตนกับลูกน้องตน
ส่วนการที่บอกว่าตนให้เงินลูกน้องนั้น การที่ตนให้ลูกน้องขับรถพาไปทำงานต่างจังหวัด แล้วให้ค่าข้าว แต่ถูกเอาไปตีว่าเป็นเงินจากเว็บพนัน มันได้ที่ไหน ตนสงสารตำรวจที่ทำงาน
ทั้งนี้ ตนขอฝากถึงพนักงานสอบสวน ซึ่งคดีนี้มีหลายคน แต่คนทำสำนวนจริงๆ มีอยู่แค่ 3-4 คน ดังนั้นคนที่มีการเซ็นชื่อ ขอให้ระวังจะเสียใจไปตลอดชีวิต วันนี้มีอำนาจบางอย่าง แต่ถ้าวันข้างหน้าความจริงปรากฎ คุกตารางก็รออยู่
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ยืนยันว่า ในตอนนี้ ยังไม่มีเรื่องอะไรโยงมาถึงตนได้ สำนวนที่ส่งไปให้ ป.ป.ช. ก็ยังไม่ได้คืนมา เพราะ ป.ป.ช. ต้องให้ความเป็นธรรมกับตำรวจ เพราะพิจารณาดูแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตำรวจทะเลาะกัน จึงให้ตำรวจทำเองไม่ได้ ต้องสอบสวนเองโดยถ้าจะมีการแจ้งข้อหาตนนั้น ก็ไม่เป็นไร แต่การยัดข้อหาเป็นคนละเรื่อง ตนไม่ได้โกรธใคร แต่เป็นห่วงน้องๆ ที่อยู่ในคณะพนักงานสอบสวนว่าจะเดือดร้อนภายหลัง
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ตำรวจทะเลาะกันเอง แต่ชาวบ้านมองแล้วเค้าสมเพช ว่าทำไมถึงไม่เอาเวลาเหล่านี้ไปทำงานปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน แต่กลับเอาเวลาทำงานมานั่งทำสิ่งที่ไม่สมควรทำ พร้อมเปรียบเทียบตนเองว่า ตนเป็นเหมือนรถ 1 คันที่ขับไปบนถนน พอเจอตำรวจจราจรก็ถูกโบกเรียก ขอตรวจใบขับขี่ พอมีแสดงให้ดูถูกต้องตามกฎหมาย ตำรวจจราจรก็เปลี่ยนใหม่ ขอเดินดูรถรอบคันเพื่อดูว่าจะมีตรงไหนผิดกฎหมายหรือไม่
ส่วน กรณีที่มีกระแสข่าวว่า วันที่ (20 ก.พ. 67) พนักงานสอบสวน สอท. ได้เรียกตนไปสอบปากคำนั้น ตอนนี้ตนยังไม่ได้รับแจ้งอะไรมา แต่ถ้าจะเรียกตนไปสอบจริงก็ยินดีให้ความร่วมมือ เพราะตนไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่การเรียกสอบต้องเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ ตามที่อัยการสั่งให้สอบสวน ถ้าทำโดยไม่ชอบ ก็ต้องถูกดำเนินการตามกฏหมาย
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ต้องให้ย้อนกลับไปดูว่าหน่วยปราบปรามเว็บพนันคือใคร ทำไมถึงปราบไม่ได้ มีการจ่ายผลประโยชน์หรือไม่ และย้ำว่า ตนเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ดูแลด้านความมั่นคงเพียงคนเดียว ที่ถูกคำสั่งให้ไม่ได้คุมด้านไซเบอร์ ซึ่งเป็นเพราะตนเป็นศัตรูตัวฉกาจของเว็บพนัน ถ้าให้ตนดูแล ตนก็จะไปปราบ จึงไม่ได้ดูแล เพราะตนรู้เยอะ เดี๋ยวจะจับเยอะ อาทิตย์เดียวก็ปราบได้หมดแล้ว
ดังนั้น “เรื่องนี้อยู่ที่ผู้ประพันธ์ ก็ให้รอดูไปว่า เดี๋ยวจะประพันธ์อะไรออกมาอีก ขอให้ฟังกันแบบสนุกสนาน นี่เป็นยุทธวิธีดิสเครดิต เดี๋ยวก็มีมาเรื่อยๆ ส่วนผมไม่ได้รู้สึกอะไร ยังทำหน้าที่ตามปกติ ไม่เสียกำลังใจ เพราะผ่านอะไรมาเยอะ และมั่นใจว่าไม่มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับเว็บพนัน”
ส่วนเรื่องนี้ ใครเป็นผู้ประพันธ์นิทานที่ได้ประโยชน์นั้น ก็ขอให้สื่อย้อนกลับไปดูเอง เพราะเป็นละครที่แต่งเรื่องกันมา มีผู้ประพันธ์อยู่ไม่กี่คน เดี๋ยวสัปดาห์หน้าก็มีต่อ น้องๆก็ติดตามกันไป
เมื่อถามว่า มองว่านิทานเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ บอกว่า “ละครเรื่องนี้ก็ไปเรื่อยๆ จะจบก็ต่อเมื่อ กระบวนการยุติธรรมเขาเห็นว่าไม่ใช่ความผิด มันจะมีที่จบมันเอง แต่ก็เตือนน้องๆว่า อย่าไปร่วมมือทำในสิ่งที่ผิด หากอัยการยก ปปช.ยก จะโดนฟ้องกลับแล้วจะเดือดร้อนได้ อย่าไปตามใจใครต้องยึดหลักกฎหมาย”
ส่วนกรณีที่สำนักงานอัยการสูงสุดมีการแถลงว่า ก่อนหน้านี้ ได้มีผู้ต้องหาในกลุ่มลูกน้องตน 8 คน ไปคุกคามพนักงานอัยการนั้น เท่าที่ตนได้พูดคุยยืนยันว่า ไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนี้ ยืนยันว่าตนไม่ทิ้งลูกน้อง ยังไงก็ดูแลเขาหมดเรื่องทนายความไม่ให้เขาลำบาก แต่เรื่องคดีก็ต้องเอาความจริงไปต่อสู้ และเท่าที่ฟังเขาบอกว่าไม่เคยไปคุกคาม ไม่เคยไปสะกดรอย
ซึ่งพันตำรวจเอกภาคภูมิ พิศมัย ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมและขอให้นายกรัฐมนตรีสั่งให้ออกจากราชการ เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น ก็เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ให้ออกมาต่อสู้ในฐานะคนธรรมดาจะได้ไม่ต้องมาถูกมองว่าใช้อำนาจหน้าที่มาต่อสู้ ถ้าเขาไม่บริสุทธิ์ใจคงไม่ทำหนังสือถึงนายกขอให้สั่งออกจากราชการไว้ก่อน และก่อนที่ พ.ต.อ.ภาคภูมิ จะไปยื่น ตนเองก็ไม่รู้เพราะเขาไปยื่นแล้วถึงมาบอก หากรู้ก่อนก็คงไม่ให้ยื่น และเขาเป็นคนทำงานเป็นคนดีด้วย
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ยังทิ้งท้ายฝากถึงสื่อต่างๆ ว่าถ้าจะลงอะไร ขอให้ลงดีๆ ถ้ามีการฟ้อง มันจะผิดใจกัน การเป็นสื่อ สามารถแสดงความเห็น วิเคราะห์ได้ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าเป็นเรื่องจริงไหม ไม่ใช่แชร์ไปเรื่อย มันทำให้เสียหายหลายคน