เฉอ จื้อเจียง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของธุรกิจในเมืองย่าไท่ ตั้งคำถามถึงแรงจูงใจของรัฐบาลจีนกับความพยายามในคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดน
บริษัทเอกชนสองแห่ง ได้ดำเนินการสร้างเมืองใหม่ใกล้กับเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมทองคำของไทย-ลาว กับคาสิโนที่มีนักธุรกิจต่างชาติที่ไม่ได้ถือสัญชาติจีนชื่อ จ้าว เหว่ย (Zhao Wei) และกิจการในเขตย่าไท่ ประเทศเมียนมาร์ ที่เปิดโดยนาย เฉอ จื้อเจียง (She Zhijiang) ที่เป็นนักธุรกิจชาวจีน ในปัจจุบันนายเฉอ จื้อเจียง ถูกคุมขังในประเทศไทยและได้มีการยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของรัฐบาลไทยที่จะส่งตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีน จึงเกิดเป็นคำถามที่ว่า ทำไมรัฐบาลจีนถึงต้องพุ่งเป้ามาที่นายเฉอ จื้อเจียง
เมืองย่าไท่อยู่ห่างจากทางด่วนคุนหมิง-กรุงเทพฯ เพียง 80 กิโลเมตร และห่างจากปากอ่าวท่าเรืออินเดียเพียง 130 กิโลเมตร โดยที่ทางด่วนอินเดีย-ไทย ยังผ่านเมืองย่าไท่และสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสิบกิโลเมตร เฉอ จื้อเจียง กล่าวว่า การที่มีการควบคุมตัวนายเฉอ จื้อเจียง ก็เหมือนกับการควบคุมเมืองย่าไท่ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ของดินแดนที่มีมหาสมุทรอินเดีย และทางด่วนอินเดีย-ไทย รัฐบาลจีนได้พยายามให้ทางการส่งตัวนายเฉอ จื้อเจียง ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีนด้วยคดีทางเศรษฐกิจแบบทั่วไป นายเฉอ จื้อเจียง จึงตั้งคำถามถึงแรงจูงใจของรัฐบาลจีน และตัวนายเฉอ จื้อเจียง ยังบอกอีกว่า การที่ตัวเขาถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีน ก็เท่ากับว่า จีนเองก็ได้ควบคุมที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของเมืองย่าไท่ไปด้วย
จากข้อมูลของนายเฉอ จื้อเจียง ในเดือนพฤศจิกายนปี 2561 รัฐบาลจีนได้จัดสรรบุคลากรและบริษัท เพื่อเจรจากับตัวนายเฉอหลายครั้ง โดยคาดหวังว่า นายเฉอ จื้อเจียง จะใช้ข้อได้เปรียบของเขตเมืองย่าไท่ เพื่อร่วมมือกับกลยุทธ์ทางการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ในฐานะนักธุรกิจ แต่นายเฉอ จื้อเจียง บอกว่าตัวเขา ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวกับการเมือง หลังจากการเจรจาที่หลายครั้งล้มเหลว ทางการจีนได้มีการส่งจดหมายเตือนแบบ Red Notice ต่อนายเฉอ จื้อเจียง ในปี 2564 และได้ดำเนินการจับกุมที่ประเทศไทยในปี 2565 ตามที่นายเฉอ จื้อเจียงกล่าว เพื่อบังคับให้เจ้าตัวยอมรับข้อเรียกร้องของรัฐบาลจีน
นอกจากนี้ นายเฉอ จื้อเจียง กล่าวว่ารัฐบาลจีนเริ่มใช้กลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อยึดเขตเมืองย่าไท่ โดยใช้กฎหมายภายในของจีนฉบับที่ 88 ซึ่งเปิดใช้สิทธิ์ในการไล่เบี้ยกับชาวจีน อย่างไรก็ตาม นายเฉอ จื้อเจียง ไม่ได้ถือสัญชาติจีนอีกต่อไป เพราะนายเฉอ ได้ถือสัญชาติกัมพูชาแล้ว หมายความว่าทางการจีน ไม่สามารถใช้กฎหมายจีนในการฟ้องร้องชาวต่างชาติ
ระหว่างการเดินทางไปจีนในปี 2560-2562 ของนายเฉอ จื้อเจียง (ที่มีการพักนานกว่า 30 วัน) ทางการจีนไม่ได้ทำการจับกุมตัวนายเฉอ จื้อเจียงในประเทศจีน แต่เมื่อนายเฉอ จื้อเจียง เดินทางไปเมืองกว่างซีกุ้ยหลินในปี 2562 เพื่อดำเนินการยกเลิกถิ่นที่อยู่เดิมที่ลงทะเบียนไว้ ตัวเขาได้ดำเนินการตามขั้นตอนการยกเลิกสัญชาติจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามทางการจีน ก็ยังคงใช้กฎหมายภายในประเทศมาตรา 88 เพื่อดำเนินคดีกับตัวนายเฉอ จื้อเจียง ที่เป็นพลเมืองกัมพูชาในตั้งแต่ปี 2564
นาย เฉอ จื้อเจียง กล่าวว่า เมื่อตัวเขาได้ร่วมมือกับสมาพันธ์ผู้ประกอบการชาวจีนโพ้นทะเลของจีนหรือ (CFOCE) รัฐบาลจีนไม่ได้ควบคุมกุมเขาแต่อย่างใด แต่ทางการได้ทำการแจ้งจับนายเฉอ จื้อเจียงหลังจากที่เจ้าตัว ได้ทำการเปลี่ยนเป็นสัญชาตกัมพูชา
จากคำกล่าวของนายเฉอ จื้อเจียง แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะไม่สมเหตุสมผลและเกี่ยวข้องกับเรื่องของกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันเอง ทางการจีนก็ได้ทำการฟ้องร้องตัวนายเฉอ จื้อเจียง และดำเนินการโดยการอ้างถึงเรื่องของความมั่นคงต่อรัฐบาลไทย เพื่อให้มีการจับกุมตัวนายเฉอ จื้อเจียง