เปิดใจชีวิตในอดีต "แอนโทเนีย โพซิ้ว" รองอันดับ 1 Miss Universe 2023 แนะวิธีการรับมือกับมรสุมคำบูลลี่ จากประสบการณ์จริงในชีวิต
กลายเป็นเรื่องราวที่แฟนนางงามให้ความสนใจ เมื่อสาวงามลูกครึ่งไทย-เดนมาร์ก "แอนโทเนีย โพซิ้ว" รองอันดับ 1 Miss Universe 2023 ที่เพียบพร้อมทั้งรูปร่าง หน้าตา และความสามารถ แต่ในอดีตกลับต้องเผชิญกับมรสุมคำบูลลี่อย่างหนักหน่วง
โดย "แอนโทเนีย" ได้ออกมาเล่าวิธีก้าวข้ามคำบูลลี่ พร้อมกับเผยความลับจักรวาลถึงเบื้องลึกเบื้องหลังการเข้าประกวดเวทีมิสยูนิเวิร์ส ในรายการ WOODY INTERVIEW
คิดว่ามันน่าจะมาไกลกว่าที่เราคิดไว้ในชีวิตไหม?
"จริงๆ แล้วไปประกวดแอนก็หวังว่าจะได้มงอยู่แล้ว แอบเสียใจด้วยที่ไม่ได้คว้ามงกลับมา แต่แอนก็แฮปปี้ที่ได้มาถึงจุดสูงสุดในเวลาที่ไม่ได้มีมานานมากแล้ว เหมือนมันเปิดประตูให้ผู้หญิงอีกหลายคนให้มีความมั่นใจในตัวเอง แล้วเห็นแอนเป็นตัวอย่าง เพื่อที่จะไปไกลกว่าแอนด้วยซ้ำ"
ถ้าคุณได้มีโอกาสรับตำแหน่ง คุณจะเอาตำแหน่งนี้ไปทำอะไร อยากฟังจากแอนว่ามีคำตอบอย่างไร?
"คำถามนี้แอนก็คิดว่าจะเป็นคำถามของท็อป 3 ด้วยซ้ำ สำหรับแอนเชื่อว่าการที่เราเป็น Miss Universe มันมากับชื่อเสียงและการเปิดเผยทั้งหมด แต่ว่าอะไรที่สำคัญมากที่สุดคือ การที่เราใช้แพลตฟอร์ม เพื่อที่จะมาเป็นแรงบันดาลใจ มาเป็นแรงผลักดันสำหรับผู้หญิงที่มองเราเป็นตัวอย่าง ในยุคที่ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องโซเชียลมีเดีย ทุกอย่างต้องเร็ว เราควรที่จะใช้แพลตฟอร์มของเรา สร้างการเปลี่ยนใหม่ในการสนับสนุนของเรา เพราะว่าแอนได้สร้างบริษัทของตัวเองที่ทำสเปรย์กันแดด ขายผัดหมี่ ขายน้ำพริก บนติ๊กต๊อก เพราะว่าแอนเห็นว่าการที่เราสร้างรายได้ให้ตัวเอง มันทำให้เรารู้สึกเป็นอิสระ ที่ส่งพลังให้เรา โดยเฉพาะในฐานะการเป็นผู้หญิง
สังคมของเรามันบังคับให้ผู้หญิงอยู่บ้าน แต่งงานกับสามีรวยหรือบรรทัดฐานของสังคม แต่เชื่อว่าผู้หญิงเราทำได้มากกว่านี้ ถ้าเราสร้างรายได้ให้ตัวเอง เราไม่ต้องไปเป็นภาระให้คนอื่น เช่นเดียวกันกับโครงการความร่วมมือ มาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ มาขายต่อ หรือสร้างบริษัทของตัวเอง ฉะนั้นแอนกับโครงการ Little Steps ให้มันร่วมมือด้วยกันค่ะ ถ้าแอนได้ตำแหน่งจะสนับสนุนและเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่รวมถึงผู้หญิงให้กล้าที่จะเริ่มกล้าที่จะสร้างอะไรเพื่อตัวเอง โดยการเป็นตัวอย่างให้กับพวกเขา แอนต้องเป็นตัวอย่างให้เขาดู ก่อนที่จะบอกเขาว่าคุณทำได้นะ"
ตอนที่ประกวดเสร็จ กลับเข้าห้องร้องไห้ไหม?
"ไม่ค่ะ อาจจะช็อกอยู่ อาจจะมีอะดรีนาลีน จากทั้ง 3 อาทิตย์ที่อยู่ในกอง นั่งเล่นโทรศัพท์ประมาณ 4 ชั่วโมงไม่ขยับ ไม่ได้ล้างหน้าด้วยซ้ำ นั่งดูรีแอคชั่น นั่งดูทุกอย่าง ก็หัวเราะตามทุกคน กรี๊ดตามทุกคน แต่อีกวันหลังจากนั้น ตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วมันโถมเข้ามาเลย ดูรีแอคชั่นของคนอื่น เป็นตอนที่น้ำตาไหลออกมาแบบเป็นน้ำพุ น้ำตกเลย แบบควบคุมไม่ได้ แอนร้องไห้ไม่ใช่เพราะว่าเราแพ้
เพราะว่าแอนเข้าใจว่าการแข่งขัน มันต้องมีแพ้ต้องมีชนะ เราต้องทำใจก่อนที่จะมาประกวด แต่ว่าเหมือนเราทำได้เยอะที่สุด 100% ของทุกอย่างที่เรามีแล้วมันได้แค่ถึงตรงนี้เหรอ เหมือนมาถามตัวเองว่ามันได้แค่นี้เหรอ เป็นแค่ที่ 2 แล้วเราทำเต็มที่ขนาดนี้ เราทำผิดพลาดตรงไหน แต่ว่าหลังจากนั้นหนูก็แบบ โอเค ร้องไปเลย รู้สึกทุกอย่าง ทุกอารมณ์ที่กำลังมา แล้วก็ไม่ร้องแล้วไปต่อ"
กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ คุณผ่านอะไรมาเยอะมาก ตั้งแต่ประกวดในรายการช่วงนั้น เจอกระแสแบบไหนและก้าวผ่านมายังไง?
"อ้วนขนาดนี้จะเป็นนางแบบได้ยังไง หนูก็อึ้ง ไม่ได้คิดว่าความสวยภายนอกของเราสำคัญขนาดนั้น ที่ทุกคนจะต้องมาบูลลี่ โดยที่เรามองตัวเองในกระจก เราไม่ได้เห็นอะไรผิด แล้วทำไมมันเป็นอะไรที่ผิดมากสำหรับคนอื่น อันนี้แอนยังไม่ได้เข้าใจในเวลานั้นก็เลยเสียใจมาก เวลานั้นแอนแค่อายุ 17 ความคิดของเรายังไม่ได้ยอมรับว่าอันนี้คือวงการของนางงามนางแบบ ว่าต้องเป็นลุคแบบนี้
แล้วจนถึงวันนี้แอนก็ยังคิดถึงเวลานั้นเลย ว่าตอนมองตัวเองในกระจกถ้าหนูน้ำหนักลงหรือน้ำหนักขึ้นเราไม่เคยเห็นเลย แค่เห็นว่ามันต้องลงกว่านี้ หรือว่ามันต้องสวยกว่านี้ แล้วการที่มาประกวด เราอาจจะไม่ได้มั่นใจตอนที่เราอยู่บนเวที แต่ว่าขอให้ทุกเห็นว่าเรามั่นใจ จะได้ให้เขามั่นใจในตัวเองด้วย แต่ว่าหนูคิดว่ามันเป็นการเดินทางมากกว่า มันเป็นอะไรที่ต้องพัฒนาทุกวัน"
"ขนาดผ่านมาเกือบ 10 ปีแล้ว ยังไม่มีวันที่แอน ฉันสวยนะ! แต่ว่ามันเป็นในแต่ละวัน แล้วตอนที่แอนก้าวผ่านมันคือตอนที่แอนบอกตัวเองว่า ความคิดเห็นของคนอื่นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอนาคตของเรา อนาคตของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คนอื่นพูด ถ้าเรารู้ว่าเรามีของอะไร มีคุณค่าที่ดี มีเป้าหมายที่สำคัญสำหรับเรา ไม่ต้องไปฟังว่าคนอื่นจะพูดอะไร เพราะว่ายังไงสิ่งที่เขาพูดมันเป็นแค่คำที่ลอยผ่าน
โดยเฉพาะในวงการนางงามที่ทุกคนมีความคิดเห็นที่อาจจะดีหรือไม่ดี แต่ว่าในที่สุดมันคือหน้าที่ของเรา ว่าจะให้มันมามีผลกระทบกับเราไหม แต่แอนยังยืนอยู่ตรงนี้ได้ บนเวทีนี้ เป็นกระบอกเสียงให้ผู้หญิงทุกคนได้ แล้วเขาทำอะไรอยู่ คือการที่เขามาบูลลี่เรามันเป็นความไม่มั่นคงของเขาที่เราควบคุมไม่ได้ แล้วแอนก็พูดแบบนี้กับตัวเองว่า เราควบคุมความเจ็บปวดของคนอื่นไม่ได้ แต่เราควบคุมได้ว่าเราจะก้าวผ่านความเจ็บปวดของเรายังไง"
มีกระแสที่คุณได้รับตำแหน่งก่อนหน้านี้แล้ว และมาประกวดต่อว่าเสียดายที่ทิ้งมงนั้นไปเพื่อมาเอามงใหม่ คุณบอกกับตัวเองยังไง เพื่อที่จะมูฟออนได้?
"จริงๆ มันเป็นปัจจัยในการตัดสินใจสำหรับแอนมากๆ เลยในเรื่องของจะไปหรือไม่ไปประกวด เพราะว่าเรื่องนี้แอนไม่เคยคิดว่ามาถึงจุดนี้ได้เพราะว่าเราคนเดียว รู้ว่าทุกอย่างที่มันเป็นวันนี้เป็นประสบการณ์ โอกาสที่คนอื่นให้มา แล้วช่องทางที่ทุกคนช่วยเสริมให้เป็นแอน แอนก็ได้โทรไปถามเขาเลยว่าเราจะลงนะ คุณโอเคไหม เราไม่ได้แค่ตัดสินใจแล้วก็ลงเลยก็ต้องให้เกียรติเขาด้วย คิดว่าการที่เรามีความฝัน มีแพชชั่นที่ยังมีไฟอยู่ในใจ ทำไมเราต้องจำกัดแพชชั่นของตัวเอง เพราะว่าคนคิดไม่เหมือนเรา รู้ว่าความเสี่ยงของการมาประกวดอีกครั้งมันสูงมาก"
"แต่ว่าถ้าแอนไม่ลองทำ ไม่ลองผลักดันตัวเองไปถึงจุดนั้น แอนจะอยู่กับชีวิตประจำวันและถามตัวเองก็จะไม่มีวันได้คำตอบเพราะกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไง คิดหนักอยู่ประมาณ 3 เดือนได้ค่ะ แอนก็เห็นว่ามันได้มากกว่านี้ ถ้าเรามีแพลตฟอร์มที่ใหญ่กว่า คนรู้จักมากขึ้น เรามีศักยภาพที่มากขึ้นไปอีกที่จะส่งผลกับคนอื่น ก็โทรไปบอกพอเขาโอเค แล้วเราก็ลงเลยไม่สนใจว่าคนจะพูดอะไรแล้ว เพราะว่าการกระทำจะสำคัญกว่าคำพูด การที่แอนทำแต่ละอย่างให้ทุกคนได้เห็นว่าแอนไม่ได้เอามงไปทิ้ง ไม่ได้ไปขโมยตำแหน่งของคนอื่น เพราะว่าในที่สุด เรามากับโอกาสที่เท่าเทียมกับทุกคน มงกฏมันเป็นแค่นั้นถ้าเราไม่ทำอะไรกับมัน ถ้าเราไม่ใช้หน้าที่ของเรา จริงๆจะมงหรือไม่มง แอนก็อยากลองพัฒนาแล้วก็ท้าท้ายตัวเอง ดูว่าจะไปได้แค่ไหน ด้วยประสบการณ์ที่ได้พัฒนาตั้งแต่จุดแรก"
วันนี้คุณคิดว่าได้บทเรียนอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับชีวิต?
"อยากจะบอกว่ามันโอเคถ้าเราจะพลาด หลายอย่างในชีวิตเราอยากทำเต็มที่ อยากชนะ เราอยากเป็นที่ 1 แล้วพอเราไม่ได้ถึงเป้าหมายที่เราตั้งให้ตัวเอง เราเห็นตัวเองเป็นคนล้มเหลว แต่ว่าจริงๆการที่เราล้มเหลว การที่เราแพ้ การที่เราไม่ได้ถึงจุดนั้น มันไม่ได้แปลว่าเราไม่ได้ดีพอ มันแค่แปลว่าเรายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องพัฒนาตัวเอง เราอาจจะไม่ดีพอสำหรับสิ่งนี้
แต่เราอาจจะเก่งมากๆ สำหรับอย่างอื่น แพชชั่นของเราไม่ควรที่จะหยุด แค่เพราะเราไม่ถึงจุดนั้น เราเสียใจได้ ร้องไห้ได้ แต่ขอให้รู้สึกกับอารมณ์นั้น แล้วก็เผชิญกับมัน แล้วพาตัวเองลุกขึ้นมาแล้วก้าวข้ามมันไป แอนอาจจะไม่ได้ชนะมง แต่สิ่งที่แอนได้ยิ่งใหญ่กว่าที่มงให้หนูได้ คือความรักของคนไทยที่แอนไม่เคยคิดว่าจะได้รับมาก่อน พอกลับมาเราได้กำลังใจ ได้รับการสนับสนุน ไม่เคยคิดว่าจะได้ในชีวิตนี้ แล้วแอนภูมิใจมากที่ทำให้ทุกคนได้ภูมิใจในตัวแอน และอยากให้เขารู้ว่ามันไม่ได้จะหยุดแค่ตรงนี้ แต่เราจะไปต่อด้วยกัน"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง