อนุทิน นำทีมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน ความพร้อม จัดการโรคโควิด19 หลัง 1 ตุลาคม ปรับโควิด-19 เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง โดยกระทรวงสาธารณสุข จะเป็นผู้รับผิดชอบหลัก เหมือนดูแลโรคติดต่ออื่นๆ ยืนยัน ยาเวชภัณฑ์ วัคซีนโควิดพร้อม ในการรักษาผู้ติดเชื้อ
ที่กระทรวงสาธารณสุข นาย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวง ร่วมกันแถลงข่าวการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ของกระทรวงสาธารณสุข หลังยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมถึงการยุบ ศบค. นายอนุทิน ระบุว่า การบริหารจัดการโรคโควิด-19 ต่อไปนี้ กระทรวงสาธารณสุข จะเป็นผู้รับผิดชอบเป็นหลัก เหมือนดูแลโรคติดต่ออื่นๆ
ซึ่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ที่นำมาใช้ในช่วงโควิด-19 เริ่มใช้เดือนมีนาคม 2563 โดยรัฐบาล ใช้เพื่อการป้องกันโรคเท่านั้นไม่ได้กระทบต่อการดำเนินชีวิตของพี่น้องประชาชน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
อนุทิน แจง โควิด ยังไม่เป็นโรคประจำถิ่น ระบุยารักษาไม่สามารถขายได้ทั่วไป
คกก.โรคติดต่อ เห็นชอบ ยกเลิกกักตัว ผู้ป่วยโควิดอาการน้อย ให้ใส่หน้ากาก 5 วัน
โดย สถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ผ่านมาในประเทศไทย ผู้ติดเชื้อและ ผู้เสียชีวิต อัตราลดลงอย่างต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ และส่วนใหญ่อาการของโรคไม่รุนแรง โดย ร้อยละ92 ประชาชนในประเทศมีภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 มากกว่า 143 ล้านโดส และประชาชนชางส่วนมีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อธรรมชาติ
ซึ่งจาก แนวโน้มสถานการณ์โรคโควิดที่คลี่คลาย คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้ปรับโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง
การประกาศโควิด-19 เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง ถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่ประเทศไทยจะเดินหน้าทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่
โรคโควิด-19 ปรับเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังลำดับที่ 57 ภายใต้พระราชบัญญัติโรคติดต่อแห่งชาติ พ.ศ. 2558 ที่มีกำหนดไว้ 57 โรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดเยอรมัน โรคคอตีบ / โรคโปลิโอ /โรคปอดอักเสบ/โรคอีสุกอีใส / อาหารเป็นพิษ
สิ่งสำคัญ คือเมื่อเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังประชาชนยังคงต้องมีการป้องกันตัวเองตามมาตรการสาธารณสุข
ขณะที่ ล่าสุดทาง ศบค. ได้มีการประกาศยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ซึ่งมีผล 30 กันยายน 2565 นั้น // ทางกระทรวงสาธารสุขได้มีพระราชบัญญัติโรคติดต่อแห่งชาติ พ.ศ. 2558 เมื่อประกาศให้เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง / กลไกควบคุมโรคต่างๆ ภายใต้พระราชบัญญัติโรคติดต่อฯ ทั้งระดับชาติและระดับพื้นที่ ยังคงดำเนินการอยู่ แต่ลดความเข้มข้นของมาตรการบางอย่างลงไป เพื่อให้สังคมและเศรษฐกิจเดินต่อไปได้
ซึ่งคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนโรคติดเชื้อโควิด-19 หลังปรับเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินงานให้กับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการนำไปปฏิบัติ
ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการเปิดประเทศที่ผ่านมา
มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเมืองไทยเพิ่มขึ้น ประมาณเดือนละ 1 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
นายอนุทิน ระบุว่า ทางกระทรวงสาธารณสุข ต้องขอขอบพระคุณ คนไทยทั้งประเทศที่ร่วมกันต่อสู้กับโรคโควิด-19 ทำให้ประเทศไทยปลอดภัยและร่วมกันฉีดวัคซีนป้องกันโรค มากกว่าร้อยละ70 ของประชากร.
ส่วนความกังวลของประชาชนถึงการรักษาผู้ติดเชื้อ หากปรับโควิด-19 เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง นั้น นายอนุทิน ระบุว่า การดูแลรักษาพยาบาลและการเข้าถึงยาเวชภัณฑ์ หากมีการติดเชื้อจะเป็นไปตามสิทธิ รักษาฟรี
ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตยาโควิด-19 ยังจดทะเบียนในการใช้สภาวะฉุกเฉินอยู่ การไปหาซื้อตามร้านขายยาทั่วไปอาจจะยังไม่สะดวกในช่วงนี้ เนื่องจากผู้ผลิตยายังไม่ขอให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ขายทั่วไปได้
ยืนยัน กระทรวงสาธารณสุขยังคงมีความพร้อมในการดูแลประชาชนในเรื่องนี้ / ประชาชนยังสามารถใช้สิทธิยูเซฟ รักษาที่ไหนก็ได้ หากแพทย์พิจารณาแล้วว่าโรคนี้อาการรุนแรง หรือเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน
ด้าน นพ. สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบบถึงสถานการณ์เตียง เตียงโควิด-19 ในรพ. ทั่วประเทศ มีกว่า 73,000 เตียง ในจำนวนนี้ เคยขยายถึง140,000 เตียง / ขณะนี้มีผู้ป่วย นอนในโรงพยาบาล 4,800 คน คิดเป็น ร้อยละ6.6ของเตียงทั้งหมด / ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง / ส่วน เตียงระดับ3 ในผู้ป่วยอาการหนัก ครองเตียงไม่ถึงร้อยละ10 / ยืนยัน ขณะนี้เตียงมีความเพียงพอ
ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ตอนนี้ มีสำรอง 5,621,175เม็ด / ปริมาณใช้ต่อวัน อยู่ที่ 58,895 เม็ด / ยาโมลนูพิราเวียร์ มี20,362,045เม็ด / ปริมาณใช้ต่อวัน อยู่ที่ 148,750เม็ด / เรมดิสซิเวียร์ 23,451 โดส ใช้ได้อีกครึ่งเดือน
ตอนนี้ได้สั่งซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ อีก10 ล้านเม็ด รวมมียาสำรองใช้ อีก 5เดือนครึ่ง / ส่วนยา โมลนูพิราเวียร์ อีก 35 ล้านเม็ด รวมมีการใช้ 7เดือน / เรมดิสซิเวียร์ สั่งซื้อเพิ่ม 3 แสน โดส รวมใช้ได้ถึง 8เดือนครึ่ง
ยืนยัน ยาในการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 มีความเพียงพอ
นายแพทย์ ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ระบุว่า กรณีเจ็บป่วยด้วยโควิด-19 สามารถใช้สิทธิรักษาพยาบาลจากกองทุนที่ผู้ป่วยมีสิทธิ เช่นกองทุนประกันสังคม สิทธิบัตรทอง หรือสิทธิข้าราชการ
กรณีที่เป็นผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการฉุกเฉินวิกฤตสามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ทั้งสถานพยาบาลภาครัฐหรือตามสถานพยาบาลเอกชนตามระบบยูเซฟพลัส
ทั้งนี้ สิ้นเดือน กันยายนจะมีการยุติ Hospital ทั้งหมด แต่หากมีสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็สามารถที่จะออกประกาศในเรื่องนี้กลับมาเปิดใหม่ได้อีกครั้ง
ส่วนแรงงานต่างด้าวหากป่วยโควิด-19 แล้วมีประกัน ก็สามารถที่จะรักษาตามสิทธิได้ แต่หากเป็นแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีประกันก็ต้องจ่ายเงินตามระบบ