โควิดโอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2.75 โควิดสายพันธุ์ใหม่ ที่กำลังระบาดหนักในอินเดีย ได้ชื่อเรียกเฉพาะแล้ว คือ “Centaurus” และจับตาสายพันธุ์ย่อย BA.5.3.1 หรือ Bad Ned ที่กำลังเริ่มระบาดในเยอรมนี
สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในช่วงเพียง 3 ปีที่ผ่านมา คือวิวัฒนาการของเชื้อโรคไม่จำเป็นต้องเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานซึ่งต้องใช้เวลาหลายพันปีหรือหลายล้านปี อย่างที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น แต่สำหรับไวรัส มันเกิดได้อย่างรวดเร็วและหลากหลายมาก
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ CDC ได้ประกาศว่า BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโควิดโอมิครอน (Omicron) ตัวใหม่ ซึ่งเคยระบาดอย่างหนักในแอฟริกาใต้ในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ ได้กลายเป็นสายพันธุ์ที่พบการระบาดมากขึ้นจนเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐอเมริกาในที่สุด หลังจากที่ตรวจพบครั้งแรกในเดือนมีนาคม
และในวันเดียวกันนั้นเอง องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ก็ได้ทวีตวิดีโอเกี่ยวกับสายพันธุ์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ติดเชื้อในอินเดีย สายพันธุ์ที่จะทำให้ BA.5 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่แพร่ระบาดได้มากที่สุดของโควิด-19 ขณะเดียวกันก็ยังมี สายพันธุ์ BA.2.75 โควิดสายพันธุ์ใหม่ ที่กำลังระบาดหนักในอินเดีย ที่ต้องจับตา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทำความรู้จักโควิดโอมิครอน สายพันธุ์ BA.2.75 ที่ระบาดหนักในอินเดีย
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ CDC เปิดเผย ในวันพฤหัสบดี ว่า สายพันธุ์ย่อย BA.2.75 ที่บางคนเรียกว่า Centaurus “เซนทอร์ หรือ เซนทอรัส” บน Twitter ได้เริ่มระบาดมาถึงสหรัฐอเมริกาแล้ว โดยพบผู้ป่วยสองรายแรกในวันที่ 14 มิถุนายน
แม้ Dr. Soumya Swaminathan หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO กล่าวว่า สายพันธุ์ย่อยดังกล่าว พบแพร่เชื้อในประมาณ 10 ประเทศ แต่ยังไม่ได้รับการประกาศให้เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลหรือต้องจับตาเป็นพิเศษ และยังเร็วเกินไปที่จะวัดการแพร่กระจาย ความรุนแรง และศักยภาพในการหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันของเชื้อตัวนี้
แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนได้ยกธงสีแดงแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังพบการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม มากถึง 9 ตำแหน่ง เมื่อเทียบกับ โควิดโอมิครอน ที่กำลังระบาดอยู่
สายพันธุ์ BA.2.75 คือ “สิ่งที่เราทุกคนควรกังวล”
Dr. Bruce Walker ผู้อำนวยการสถาบัน Ragon Institute of MGH, MIT และ Harvard ซึ่งเป็นสถาบันทางการแพทย์ที่เน้นการกำจัดโรค และเป็นหัวหน้าร่วมของ Massachusetts Consortium on Pathogen ระบุสายพันธุ์ดังกล่าว “ทำให้เราเข้าใจถึงความสามารถของไวรัสในแง่ของการกลายพันธุ์ อีกครั้งหนึ่งคือไวรัสที่มีความคล้ายคลึงกับสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิม แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของกรดอะมิโนเล็กน้อย ทำให้กลายเป็นสิ่งที่มีแนวโน้มที่จะสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้”
"ฉันคิดว่าสิ่งที่สายพันธุ์เหล่านี้แสดงให้เราเห็นก็คือ ไวรัสแตกต่างจากความเข้าใจเรื่องวิวัฒนาการทั้งหมดที่เรามีอยู่"
หรือนี่จะเป็นการระบาดของ โควิด-19 ระลอกใหม่ของโลก?
Dr. Stuart Ray รองประธานด้านการแพทย์ด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ และศาสตราจารย์แห่ง Johns Hopkins Medicine กล่าวว่า "มีรูปแบบที่เราเห็นเป็นระยะๆ และมีคุณสมบัติบางอย่างที่ทำให้เรากังวล แต่จนกว่าเราจะเห็นระบาดในพื้นที่ที่หลากหลาย เราถึงจะเข้าใจมันมากขึ้น”
ขณะที่ Dr. Daniel Kuritzkes หัวหน้าแผนกโรคติดเชื้อที่ Brigham and Women's Hospital และศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ที่ Harvard กล่าวว่า "เราได้เห็นรูปแบบต่างๆ มากมายของการระบาดจากตระกูลสายพันธุ์โอมิครอน เราจำเป็นต้องเห็นเคสจำนวนมากขึ้นในหลายพื้นที่ เพื่อให้รู้ว่านี่เป็นข้อกังวลที่สำคัญอย่างแท้จริง”
ขณะที่ดร. Dan Barouch ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ที่ Harvard Medical School และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยไวรัสและวัคซีน ระบุว่า
การกลายพันธุ์สายพันธุ์ BA.2.75 บางอย่างเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง และ "มีบางอย่างที่เราไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงเป็นเหตุผลที่ต้องทำการศึกษา แต่ไม่ใช่เหตุที่จะก่อให้เกิดความตื่นตระหนก"
โควิดโอมิครอน สายพันธุ์ BA.5.3.1 หรือ "Bad Ned” โผล่ซ้ำ
ในสัปดาห์นี้ มีแพทย์ นักวิจัย และนักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลจำนวนมากโพสต์ทวิตเตอร์เกี่ยวกับการค้นพบที่เกี่ยวข้องกับโควิดโอมิครอน สายพันธุ์ BA.5.3.1 หรือที่รู้จักว่า “Bad Ned”
ชื่อนี้เป็นสัญลักษณ์ของการกลายพันธุ์ใน N:E136D ตามMike Honey ชาวออสเตรเลีย ผู้เขียนหัวข้อยอดนิยมในหัวข้อในสัปดาห์นี้ระบุ
สายพันธุ์ BA.5.3.1 หรือ Bad Ned เป็นภาคแยกของสายพันธุ์ย่อย BA.5 ที่ระบาดไปทั่วโลก โดยเฉพาะในเยอรมนี ซึ่งเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม พบว่ามีผู้ป่วย BA.5 เกือบ 80%
สายพันธุ์ BA.5.3.1 ยังถูกพบในสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน โฆษกของ CDC กล่าวว่าได้พบสายพันธุ์นี้เกือบ 5% ของเคส BA.5 ในสหรัฐอเมริกา
“โอมิครอน” คือจุดสูงสุดของโควิด-19 หรือไม่?
ต้นเดือนพฤศจิกายน 2021ที่ โควิดโอมิครอน ได้เริ่มระบาด ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป Kuritzkes พบว่ามันน่าสนใจที่ทุกสายพันธุ์ย่อยที่ระบาดหลัก ล้วนเป็นการกลายพันธุ์เล็กน้อยของ โอมิครอน : “stealth Omicron” ไม่ว่าจะเป็น BA.2, BA.2 spinoff BA.2.12.1, BA.4, BA.5
“เรายังคงเห็น โควิดโอมิครอน พัฒนาและกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ย่อยต่อไป แตกต่างจากการระบาดของสายพันธุ์ก่อนนี้ ที่มีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่”
บางคนมองว่า โควิดโอมิครอน สามารถคาดคะเนอาการได้ เรามักพบอาการอักเสบที่ทางเดินหายใจส่วนบน เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์เดิมซึ่งมักจะพบเชื้อในปอดส่วนล่าง ซึ่งมีความเสี่ยงต่อโรคปอดบวมและอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งโควิดโอมิครอนดูจะมีความรุนแรงน้อยกว่า และอาจไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าหวัด แม้จะยังระบาดอยู่มากก็ตาม
แต่ Kuritzkes กล่าวว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปแบบนั้น อัตราการติดเชื้อโควิดก่อนหน้านี้เป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับการฉีดวัคซีนในประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ย่อมส่งผลทำให้ภูมิคุ้มกันของประชากรเพิ่มขึ้น โควิดโอมิครอนที่ระบาดจึงสำแดงอาการไม่มากนัก
Kuritzkes ยกตัวอย่างไปที่การระบาดของสายพันธุ์ BA.2 ในฮ่องกงเมื่อหลายเดือนก่อน ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุเสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน มีอัตราการตายสูงมาก ทำลายแนวคิดที่ว่า โควิดโอมิครอนไม่ได้รุนแรงเท่าเชื้อสายพันธุ์อื่นๆ
เวลาจะบอกได้ว่าสายพันธุ์ย่อยที่เกิดขึ้นใหม่นั้นเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงหรือไม่ และการกลายพันธุ์อาจเกิดขึ้นได้อีกมากมาย ซึ่งส่งผลต่อการติดเชื้อและภูมิคุ้มกัน”
ที่มา : fortune.com