ย้อนวันวานชีวิตที่เป็นตำนานของ "อาต้อย เศรษฐา" ศิลปินแห่งชาติผู้ทรงเกียรติ ผู้ที่เป็นต้นแบบให้ดารารุ่นน้องและเป็นที่รักของทุกคน
นับเป็นข่าวเศร้าครั้งใหญ่ของวงการบันเทิง สำหรับการสูญเสียศิลปินแห่งชาติมากฝีมือ "อาต้อย เศรษฐา ศิระฉายา" ที่เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคมะเร็งปอดระยะที่ 4 ในวัย 77 ปี ท่ามกลางความโศกเศร้าของครอบครัวและเพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการ รวมทั้งแฟนๆทั่วประเทศที่ช็อกและเสียใจกับการจากไปของศิลปินอาวุโสที่เคารพรัก ต่างพร้อมใจโพสต์อาลัยถึง "อาต้อย" กันอย่างสุดซึ้ง
ถึงแม้ว่าตอนนี้ "อาต้อย" จะจากลาโลกใบนี้ไปแล้ว แต่ผลงานและคุณงามความดีจะอยู่ในใจของแฟนคลับตลอดไป วันนี้ทาง "สปริงบันเทิง" จะพาไปย้อนวันวานชีวิตที่เป็นตำนานของ "อาต้อย เศรษฐา" ผู้ที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถ และยังเป็นบุคคลต้นแบบของนักแสดงและศิลปินรุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลาน
ศิลปินผู้ที่ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง
"เศรษฐา ศิระฉายา" หรือชื่อเล่น "ต้อย" เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2487 เป็นคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในอดีตเคยสมรสกับแอร์โฮสเตส ก่อนจะเลิกรากันไป ซึ่งปัจจุบันสมรสกับ "เปี๊ยก อรัญญา" มีบุตรสาวด้วยกัน 1 คน คือ "อี๊ฟ พุทธธิดา"
ส่วนด้านการศึกษา "อาต้อย" ถือเป็นอีกคนบันเทิงที่เรียนเก่งมาก แม้จะทำงานหนัก แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง เห็นได้จากการประสบความสำเร็จด้านการศึกษาถึงระดับปริญญาเอก
- จบการศึกษามัธยมปลายจากโรงเรียนวัดบวรนิเวศ
- จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ หลักสูตรโครงการพิเศษ สาขาวิชาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- จบการศึกษาระดับปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ สาขาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต MBA มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
- และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ช็อกวงการบันเทิง! อาต้อย เศรษฐา เสียชีวิตแล้วในวัย 77 ปี หลังป่วยมะเร็งปอด
ประวัติ เบส วีร์ นักร้องหนุ่ม ป่วยปอดติดเชื้อรุนแรงเสียชีวิตกะทันหัน
เช็กอาการ สัญญาณเตือน “มะเร็งปอด" คร่าชีวิตอันดับ 2 ของคนไทย
เส้นทางในวงการบันเทิง
"อาต้อย" เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุประมาณ 16 ปี ด้วยการขนเครื่องดนตรีในวงดนตรีตามคำชักชวนของน้าชาย "สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์" อดีตพระเอกภาพยนตร์ชื่อดังในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อมาได้ฝึกหัดทักษะด้านดนตรีแบบครูพักลักจำ จนก้าวขึ้นมาเป็นนักร้องตามสถานบันเทิงต่างๆ
และได้รวมตัวกับเพื่อนๆ ตั้งวงดนตรี "Holiday J-3" ร่วมกับ วินัย พันธุรักษ์, พิชัย ทองเนียม, อนุสรณ์ พัฒนกุล และ สุเมธ อินทรสูต ก่อนเปลี่ยนเป็น "Joint Reaction" และได้เปลี่ยนอีกครั้งว่า "The Impossibles" (วงดิอิมพอสซิเบิ้ล ) ซึ่งอาต้อยเป็นนักร้องนำ
ปี พ.ศ. 2512 วง The Impossibles สามารถคว้าถ้วยพระราชทานรางวัลชนะเลิศการประกวดวงสตริงคอมโบ ส่งผลให้วงดนตรีเริ่มเป็นที่นิยมและเป็นจุดเปลี่ยนให้อาต้อย ได้เข้ามาเล่นภาพยนตร์เป็นครั้งแรก เขาและเพื่อนๆได้รับการทาบทามจาก "เปี๊ยก โปสเตอร์" ให้มาร่วมบรรเลงเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง โทน (2513)
ต่อมาวง The Impossibles นั้นยังสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศการประกวดวงสตริงคอมโบอีก 2 ครั้งติดต่อกัน และกลายเป็นวงที่โด่งดังมีชื่อเสียง ได้บรรเลงเพลงประกอบภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง อาทิ ดวง ในปี 2514 , สวนสน ในปี 2514, ระเริงชล ในปี 2515, ตัดเหลี่ยมเพชร ในปี 2518 ฯลฯ
ปี พ.ศ. 2518 หลังกลับมาจากการไปทัวร์ที่ต่างประเทศ "อาต้อย" ก็ได้รับการชักชวนจาก "จุรี โอศิริ" ให้มาแสดงภาพยนตร์อย่างจริงจังคือเรื่อง "ฝ้ายแกมแพร" ในปี 2518 และได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมมาครองจากผลงานเรื่องนี้อีกด้วย
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2519 วง The Impossibles ได้ตัดสินใจประกาศยุบวงอย่างเป็นทางการ "อาต้อย" จึงก้าวเข้าสู่เส้นทางแสดงอย่างเต็มตัว มีบทบาทโดดเด่น ทั้งการเป็นพิธีกรและเป็นนักแสดงที่เป็นยอดฝีมือ สามารถรับบทบาทได้หลากหลาย ส่งผลให้มีผลงานออกมาให้เห็นอย่างมากมายจวบจนปัจจุบันนี้
ผลงานสร้างชื่อ จนได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ
ผลงานโดดเด่นที่สุดของ "อาต้อย" คือเรื่อง "ชื่นรัก" (2522) ซึ่งได้รับบทพระเอก ประกบคู่กับ "เปี๊ยก อรัญญา" นางเอกชื่อดังในยุคนั้น และจากการร่วมงานกันนั้น ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ให้ทั้งคู่กลายเป็นคู่ชีวิตกันในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ "อาต้อย" ยังมีผลงานละครกว่า 104 เรื่อง ผลงานภาพยนตร์ประมาณ 154 เรื่อง ผลงานกำกับภาพยนตร์อีก 7 เรื่อง และทำหน้าที่พิธีกรกว่า 14 รายการ หนึ่งในนั้นมีงานพิธีกรบนเวที "ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย" ทุกซีซั่น ทั้งนี้ยังมีผลงานเพลงที่ขึ้นคอนเสิร์ตอีกมากมาย
และในปี พ.ศ. 2554 "อาต้อย" ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็น "ศิลปินแห่งชาติ" สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) เป็นเครื่องการันตีถึงผลงานคุณภาพ ความสามารถที่เปี่ยมล้นในตลอดระยะเวลาที่ยืนหยัดอยู่บนเส้นทางสายนี้ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิสวัสดิการนักแสดงอาวุโสอีกด้วย
ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 3 ปีซ้อน
- พ.ศ. 2551 เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 7 เหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ (ร.ง.ภ.)
- พ.ศ. 2552 เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย (บ.ม.)
- พ.ศ. 2555 เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 4 จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ (จ.ภ.)
รางวัลที่เคยได้รับ
- พ.ศ. 2553 : รางวัลพระราชทานบันเทิงเทิดธรรม (พ.ศ. 2553) จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
- พ.ศ. 2553 : รางวัลการเชิดชูบุคคล ทางด้านผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2553
- พ.ศ. 2554 : รางวัลศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง
อาต้อย-อาเปี๊ยก นิยามของคู่ชีวิตที่อยู่ดูแลกันมานาน
สำหรับจุดเริ่มต้นเรื่องราวความรักของ "อาต้อย" และ "อาเปี๊ยก" เกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่ได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่อง "ชื่นรัก" เมื่อปี 2522 ทำให้ได้รู้จักและสานความสัมพันธ์ จนเป็นคู่ชีวิตที่ครองรักกันมายาวนานอย่างทุกวันนี้
หากย้อนไปทาง "อาเปี๊ยก" เคยเล่าให้ฟังว่าตอนที่คบหากับอาต้อยนั้น คนค่อนข้างเตือนในเรื่องของความเจ้าชู้ของฝ่ายชาย บวกกับอาต้อยเคยผ่านการมีครอบครัวมาก่อน แต่อย่างไรก็ไม่ได้เป็นผลกับความรักของทั้งคู่ เพราะทั้งสองเข้าใจกันและรักกันมาก
โดย "อาต้อย" เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย รักครอบครัว ซึ่งเจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ถึงความรักที่มีต่อภรรยาว่า "เศรษฐารักอรัญญามากจริงๆ รักแบบที่ชีวิตนี้ไม่สามารถรักใครได้อีกแล้ว รักที่มาจากหัวใจ รักเป็นคนแรกและคนสุดท้ายของชีวิต"
ต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งปอดมานาน
ช่วงกลางปี 2562 "อาต้อย" ตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งปอด จึงได้เข้ารับการรักษาตัวอย่างต่อเนื่อง และได้รับกำลังใจที่ดีจากครอบครัวและคนรอบข้าง ทำให้อาการป่วยดีขึ้นตามลำดับ
ต่อมาในเดือนเมษายน 2564 "อาต้อย" ติดเชื้อโควิด-19 ต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยมีอาการเชื้อลงปอดและต้องอยู่ในความดูแลของหมออย่างใกล้ชิด ซึ่งหลังจากที่รักษาตัวในโรงพยาบาลหลายสัปดาห์ ก็หายดีเป็นปกติ และได้กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้าน
แต่เมื่อช่วงปลายปี 2564 "อาต้อย" ต้องกลับไปทำคีโมอีกครั้ง หลังจากหยุดพักไป 3 เดือน หมอตรวจพบว่าก้อนเนื้อดังกล่าวกลับมาเติบโตอีกครั้ง และด้วยความที่เป็นระยะที่ 4 มีการกระจายไปที่อื่นด้วย จึงต้องกลับมาให้คีโมใหม่ เปลี่ยนตัวยา และเพิ่มการให้ยา โดยมีครอบครัวดูแลอย่างใกล้ชิด
และผลจากการทำคีโม ก็ทำให้ "อาต้อย" มีอาการอาเจียน รับประทานอาหารเองไม่ค่อยได้ จนร่างกายซูบผอม น้ำหนักตัวลดลงไปมาก หมอจึงใช้วิธีให้อาหารทางสายยาง เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหาร ซึ่งที่ผ่านมาอาต้อยก็ยิ้มสู้ เพราะได้รับกำลังใจจากครอบครัวและทุกๆคน
นอกจากนี้ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานกำลังใจ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คุณจันทนี ธนรักษ์ เป็นผู้แทนพระองค์ พระราชทานแจกันดอกไม้และกระเช้าของเยี่ยมให้ในช่วงเข้ารับการรักษาตัวรอบล่าสุดอีกด้วย
กระทั่งเช้าวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2565 วงการบันเทิงต้องเจอกับการสูญเสียครั้งใหญ่ "อาต้อย" ได้จากไปอย่างสงบ หลังต่อสู้กับโรคร้ายมานาน สร้างความโศกเศร้าให้แก่คนในครอบครัว คนในวงการบันเทิง และแฟนๆ เป็นอย่างมาก
โดยทางทายาทจะขอพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ในวันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ เวลา 17.30 น. ณ ศาลา 1 วัดเทพศิรินทราวาส ส่วนกำหนดสวดพระอภิธรรมศพ ระหว่างวันที่ 21-27 กุมภาพันธ์ เวลา 19.00 น. ณ ศาลา 1วัดเทพศิรินทราวาส แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ซึ่งทายาทจะเก็บศพไว้บำเพ็ญกุศล 100วัน และสวธ.จะดำเนินการขอพระราชทานเพลิงศพต่อไป