Disney ประกาศตัวอีกไม่นานจะนำพามิกกี้ เมาส์ และตัวการ์ตูนอื่นๆพร้อมร่วมผจญภัยไปในโลก metaverse ซึ่งจะทำสามารถเล่าเรื่องได้โดยไม่มีขอบเขต และผู้ชมได้สัมผัสถึงบรรยากาศเสมือนจริง
นับตั้งแต่ Mark Zuckerberg (มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก) CEO ของ Facebook ( หรือปัจจุบันคือ Meta) ประกาศว่าอนาคตของบริษัทจะทุ่มเทให้กับการสร้างสภาพแวดล้อมสามมิติที่แข็งแกร่ง หรือ เมตาเวิร์ส (metaverses) ซึ่งรูปประจำตัวดิจิทัลของผู้ใช้จะทำงานแต่ละคน จะสามารถ ออกไปเที่ยว ร่วมกิจกรรม หรือแม้กระทั่งทำงานในโลกเสมือนจริงได้อย่างไร้ข้อจำกัด ก็ได้กลายเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายจับตามองและเป็นหมุดหมายสำคัญที่กลุ่มธุรกิจต่างๆก็มุ่งเป้าจะมีส่วนร่วมในโลกใหม่ด้วย
บริษัทใหญ่ๆ รวมทั้งผู้ผลิตเกม และซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft Corp ก็กำลังทำงานอย่างหนักเกี่ยวกับ เมตาเวิร์ส(metaverses) ของตนเอง ไม่เว้นแม้แต่ยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิงอย่าง Disney ที่มีประวัติมายาวนาน
Bob Chapek ซีอีโอของ วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney) บริษัทที่สร้างผลงานการ์ตูนที่ยิ่งใหญ่ของโลก ได้แถลงผลประกอบการไตรมาสสี่ของ Disney เมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า การเข้าสู่เขตแดนดิจิทัลใหม่นี้ สอดคล้องกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีของ Disney ย้อนหลังไปเกือบศตวรรษ ซึ่งจะทำให้สามารถเชื่อมต่อโลกทางกายภาพและโลกดิจิทัลได้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น หลังจากเคยสร้างประวัติศาสตร์ในการสร้างการ์ตูนเรื่องแรกที่นำเสนอเสียงที่ซิงโครไนซ์ คือ Steamboat Willie สร้างภาพจำของเจ้าหนู “มิกกี้เม้าส์” ให้โด่งดังไปทั่วโลกเมื่อปี 1928
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
จัสติน บีเบอร์ เตรียมจัดคอนเสิร์ตในโลก เมตาเวิร์ส ผ่านแพลตฟอร์ม Wave
The Voice รายการประกวดร้องเพลงชื่อดัง ประกาศก้าวสู่โลก metaverse
ดิสนีย์ (Disney) มองว่า โลกเมตาเวิร์ส (metaverses) จะทำให้สามารถเล่าเรื่องได้โดยไม่มีขอบเขตซึ่งจะเป็นก้าวแรกในการพัฒนาขยายบริการวิดีโอสตรีมมิ่ง Disney+ ผ่าน โลกเสมือนจริงสามมิติ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดิสนีย์ (Disney) พยายามปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทัล เมื่อปี 2020 Tilak Mandadi อดีตรองประธานบริหารฝ่ายดิจิทัลของ Disney เขียนบน LinkedIn เกี่ยวกับการสร้างสวนสนุก metaverse โดยที่ "โลกทางกายภาพและดิจิทัลมาบรรจบกัน" ผ่านอุปกรณ์สวมใส่ สมาร์ทโฟน และจุดเชื่อมต่อดิจิทัลอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวทางเทคโนโลยีและรสนิยมเรื่องการบริโภคสื่อบันเทิงของคนรุ่นใหม่ ทำให้ Disney ซึ่งเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของโลกเซลลูลอยด์ ต้องพยายามปรับตัวมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เช่น Club Penguin โซเชียลเน็ตเวิร์กสำหรับเด็กออนไลน์ ซึ่งต้อง ปิดตัวลงในปี 2017 หลังจากผ่านไป 11 ปี หรือการซื้อกิจการ Maker Studios ธุรกิจบันเทิองคล้าย YouTube มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ในปี 2014 ก็ไม่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจตามที่คาด
จึงน่าจับตาดูว่า การก้าวเข้าสู่โลก Metaverse ครั้งนี้ จะทำให้ Disney สามารถก้าวเข้าครองใจผู้ใช้งานในยุคดิจิทัลได้สำเร็จหรือไม่ และในอนาคตเราอาจมีโอกาสเข้าไปอยู่ในโลกของการ์ตูน ภาพยนตร์ หรือสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ ต่อเติมจินตนาการวัยเด็กให้กับผู้คนทั่วโลก