จากกรณีการลาออกจากตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แต่ก็มี ราชกิจจาฯ เรื่องการให้รัฐมนตรีพ้นสภาพ ลงวันที่เดียวกัน ออกมาด้วย จึงก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า สรุปแล้ว เป็นการลาออก หรือปลดออก ?
เป็นข่าวใหญ่ในช่วงเย็นวันที่ 9 เดือน 9 เมื่อมีหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ลงวันที่ 8 เดือน 9 ปลิวว่อนในโลกออนไลน์ ตามติดมาด้วย ประกาศราชกิจจานุเบกษา ให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง โดยมีชื่อปรากฏ 2 รายชื่อ คือ
1.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
2.นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน
ทั้งสองเรื่อง ลงวันที่ 8 เดือน 9 เหมือนกัน
คำถามที่เกิดขึ้นตามมาคือ เกิดอะไรขึ้น หักกันทางการเมือง หรือมีดีลอะไรกันใหม่ๆ ในทางการเมือง สปริงนิวส์ ไล่ย้อนดูเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อครั้งมีรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง พบว่า เมื่อครั้งที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยยื่นเรื่องขอลาออกจากตำแหน่ง ในครั้งนั้น สำนักนายกรัฐมนตรีออกประกาศเรื่องการลาออกของรัฐมนตรี เป็นเอกสารลงวันที่ชัดเจน
แต่เมื่อมาถึงการลาออกของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กลับไม่เห็นการออกประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรีปรากฎออกมาแต่อย่างใด (ตรวจสอบเย็นวันที่ 9 เดือน 9 ) มีเพียงหนังสือลาออกที่เจ้าตัวลงนามและร่างขึ้นมาส่งต่อแพร่หลายกัน ประกอบกับประกาศราชกิจจานุเบกษาที่มีออกมา ก็เป็นเรื่องให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี มิใช่เป็นเรื่องให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี ตามที่เคยมีเมื่อครั้งจะมีการปรับ ครม.ในอดีตที่ผ่านมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
Breaking News : ด่วน! “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ยื่นลาออกจาก “รมช.เกษตรฯ”
เบื้องลึกศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ บิ๊กตู่ VS ธรรมนัส ใครหักเหลี่ยมใคร ?
นายกฯรับเป็นคนปรับ "ธรรมนัส-นฤมล" พ้นครม. เอง ย้ำให้ปชช.ดู ยังไม่ปรับใหม่
การปรากฎของเรื่องราวดังกล่าว ทำให้เห็นความแตกต่างของการลาออกโดยปกติ กับการลาออกโดยไม่ปกติ เสมือนหนึ่งปลดออก โดยปริยาย อีกทั้งการออกมาแถลงของ ร.อ.ธรรมนัส ที่สภาผู้แทนราษฎร หลังปรากฎหลังสือลาออก ร.อ.ธรรมนัส กล่าวเองว่า
“รู้สึกอึดอัดใจ การบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ จึงขอกลับไปอยู่จุดเดิมเป็นเพียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพะเยา เลือกทางเดินด้วยตัวเอง ต้องการทำการเมืองเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองจริงไม่ใช่มารองรับหรือทำอะไรเพื่อคนบางกลุ่ม พร้อมฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกจังหวัดว่าวันนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกเส้นทางการเมืองใหม่ โดยเลือกผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน และจะต่อสู่ในเวทีการเมืองอย่างเต็มที่ ซึ่งวันนี้ขอกราบขอโทษประชาชนที่ไม่สามารถทำตามที่ได้สัญญาไว้ได้ทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน”
ร้อยเอกธรรมนัส ยังกล่าวต่อด้วยว่า “หลังจากนี้จะกลับไปตั้งต้นที่จังหวัดพะเยาและจังหวัดอื่นๆ หากตนได้กลับมามีอำนาจ วาสนา อีกครั้ง ตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำงานเพื่อชาติ”
ร.อ.ธรรมนัส ยังยอมรับด้วยว่า “เดินไปในทิศทางเดียวกันไม่ได้ ที่จริงแล้วก่อนที่จะลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีการหารือกับรองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าจะลาออก แต่หัวหน้าพรรคห้ามไว้ แต่ตนก็ต้องขัดคำสั่งหัวหน้า เพราะไตร่ตรองดูแล้วว่า ทางเดินชีวิตผม เดินเพื่อประชาชน มันต้องเดินไปอีกไกล ดังนั้นผมตัดสินใจเด็ดขาดด้วยตนเอง”
ไฮไลท์อยู่ที่ คำว่า เคยหารือหัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร ว่าจะลาออก แต่หัวหน้าพรรคห้ามไว้ แต่ตนก็ต้องขัดคำสั่งหัวหน้า” เมื่อเหตุการณ์ปรากฎออกมาแบบนี้ ตีความได้แบบเดียวคือ ไปกันไม่รอด
ในทางการเมือง การขับออกจากพรรคเป็นทางหนึ่งที่จะสามารถทำให้เกิดการย้ายพรรคได้ ส่วนการลาออกจากพรรค ไม่สามารถย้ายสังกัดไปพรรคใหม่ได้ จะพ้นสภาพ ส.ส.ไปในทันที ดังนั้นภาพที่จะเห็นต่อไปจากนี้ เราอาจจะได้เห็นการทำงานแยกขั้วในพรรคเดียวเกิดขึ้นมาอีก หลังจากที่เคยเห็นปรากฎหารณ์นี้จาก ส.ส.คารม พรพลกลาง พรรคก้าวไกล ที่ย้ายขั้วไปซบพรรคภูมิใจไทย ทั้งที่ตัวยังสังกัดพรรคก้าวไกล
ส่วนการปรากฎของราชกิจจาฯ เรื่องการให้รัฐมนตรีพ้นสภาพ แม้ในหน้าฉาก นายกรัฐมนตรี จะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า “ไม่ได้ปลด แต่เขาลาออกเอง” แต่เนื้อความในราชกิจจาฯก็ระบุชัดว่านายกฯเป็นผู้กราบบังคมทูลว่า สมควรให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ให้สัมภาษณ์ย้ำว่า “จะไปจะมาอย่างไรไม่ขอตอบ แต่ตนสั่งของตน ซึ่งการปรับออกไม่ต้องแจ้งใคร เป็นเหตุผลส่วนตน และย้ำอีกว่าเป็นของตน”
มาถึงบรรทัดนี้ คงได้คำตอบชัดเจนว่า ลาออก หรือ ปลดออก แต่จะ ลาออก หรือ ปลดออก ก็ไม่สำคัญเท่า นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ก่อนหน้านี้มีข่าวลือหนาหูกันมากว่า อาจมีการปรับ ครม.ในตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่กาลปรากฎไม่เป็นเช่นดังข่าวลือ กลับออกมาในอีกรูปแบบหนึ่ง
หรือนี่จะเป็นการลงดาบเพื่อรักษาสภาพผู้นำ ปรับสมดุลย์ในพรรค
คงต้องติดตามกันต่อไป โดยเฉพาะ เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นต่อไป ผลจะออกเป็นเช่นไร ประเทศไทยจะใช้ระบบการกาบัตรเลือกตั้งแบบ 2 ใบ หรือแบบ 1 ใบ ใครได้ประโยชน์จากแบบไหน กลุ่มไหนอยากให้ใช้แบบไหน เพราะอะไร ทั้งหมดจะฉายภาพให้เห็นวงวารการเมืองไทยที่ไม่ไปไหนเลยสักที...