ก.ต่างประเทศ โต้ "ทอม เครือโสภณ" กล่าวหาเท็จอ้าง กต.ปฏิเสธวัคซีนบริจาคเพราะกลัวเสียหน้า ขออย่าด้อยค่าการทำงาน ยันเดินสายดีลทั่วโลก ให้ความช่วยเหลือมาตลอด
จากกรณีที่ นายทอม เครือโสภณ นักธุรกิจชื่อดัง ไลฟ์กล่าวหา นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยอ้างว่า มีการปฏิเสธรับวัคซีนจำนวนแสนโดสที่ประเทศมีบางประเทศจะบริจาค เพราะไทยกลัวจะเสียหน้าว่ารับวัคซีนจากประเทศที่เล็กกว่านั้น
ล่าสุด นายธานี แสงรัตน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงยืนยันว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวนี้ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด กระทรวงการต่างประเทศทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนไทยและคนต่างชาติที่อาศัยในไทย เข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยเร็วที่สุด ทั้งการอำนวยความสะดวกในการจัดซื้อ การแลกเปลี่ยนวัคซีน (vaccine swap) หรือรับมอบความช่วยเหลือจากมิตรประเทศ
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังได้ติดตามพัฒนาการของวัคซีนโควิด-19 จากทั่วโลก เจรจากับรัฐบาลและหน่วยงานของต่างประเทศเพื่อผลักดันความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนากับประเทศที่มีศักยภาพ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่จะให้ไทยเป็นฐานการผลิตวัคซีนและแหล่งกระจายวัคซีนในภูมิภาค โดยได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวร และสถานกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลกดำเนินการในเชิงรุกผ่านช่องทางทางการทูตทุกระดับทุกช่องทาง
พร้อมยืนยันว่าไทยไม่เคยปฏิเสธความร่วมมือด้านวัคซีนของมิตรประเทศ กรณีความร่วมมือกับสิงคโปร์นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ แจ้งว่า สิงคโปร์รู้สึกขอบคุณไทยที่ได้บริจาคอุปกรณ์ตรวจเชื้อโควิด-19 แบบ RT-PCR ให้ในช่วงต้นของการระบาดรุนแรงในสิงคโปร์ ดังนั้น โดยที่สิงคโปร์มีวัคซีนมากพอสำหรับการใช้ในประเทศแล้ว จึงประสงค์จะส่งวัคซีนแอสตราเซเนกามาให้ประเทศไทยจำนวน 120,000 โดสซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้แสดงความขอบคุณและขอรับความช่วยเหลือนี้ในรูปแบบการยืม (swap) โดยจะส่งวัคซีนคืนให้สิงคโปร์เมื่อไทยมีวัคซีนเพียงพอต่อความต้องการในประเทศเช่นเดียวกับความตกลงที่ไทยได้ทำกับภูฏาน โดยเรามองว่า เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ได้คิดว่าใครจะเล็ก หรือใหญ่ หรือเป็นการเสียหน้าใครแต่อย่างใด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• โฆษกกต. เผยลาวไม่มีแผนฉีดวัคซีนโควิดให้ 7 คนไทยหลงไปเก็บเห็ด ที่ถูกจับกุม
• กต.เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติ ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด
• วัคซีนบริจาค Pfizer & AstraZeneca รู้ยังว่า ใครที่จะได้สิทธิ์นั้น
ส่วนกรณีที่มีการอ้างว่าผู้แทนของบริษัท Moderna ไม่สามารถเข้าถึงตัวแทนทางการทูตของไทยได้นั้น ขอชี้แจงว่าทั้งกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตไทยที่กรุงวอชิงตัน ได้รับไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จากผู้แทนบริษัทจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์แห่งหนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการในการจัดหาและกระจายวัคซีนโควิด-19 ของ Moderna ในประเทศไทย โดยมีข้อความแจ้งว่า โรงงานผู้ผลิตหลักของ Moderna ในสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งผลิตวัคซีนให้ประเทศนอกสหรัฐฯ ติดขัดบางประการ จึงทำให้เกิดความขาดแคลนและความล่าช้าในการส่งมอบวัคซีนให้แก่ประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย จึงขอให้กระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตฯ เจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เลื่อนการรับมอบวัคซีน Moderna 10ล้านโดส ที่จะได้รับในไตรมาส 3 ของปีนี้ออกไปก่อน เพื่อให้ Moderna สามารถส่งมอบวัคซีนให้แก่ไทยได้ เนื่องจากสหรัฐฯ มีวัคซีนส่วนเกินจำนวนมาก ทั้งนี้ ผู้แทนบริษัทฯ ดังกล่าว ไม่ได้แสดงเอกสารใด ๆ แม้แต่สัญญาการสั่งซื้อวัคซีนของหน่วยราชการไทยที่อ้างถึง รวมถึงรายละเอียดความต้องการวัคซีน Moderna ของภาคเอกชนไทย จำนวนวัคซีน และกรอบเวลาการส่งมอบ ตลอดจนข้อมูลท่าทีและการดำเนินการของบริษัทฯ ในการผลักดันประเด็นที่ขอให้ไทยเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงช่องทางการติดต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ของบริษัทฯ รวมถึงไม่เคยมีหนังสือแจ้งความจำนงกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ได้หยิบยกกับผู้แทนระดับสูงของฝ่ายสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทยและความต้องการวัคซีนอย่างเร่งด่วน และมีหนังสือขอรับการสนับสนุนจากทางการสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อขอเร่งการส่งมอบวัคซีนที่ไทยสั่งซื้อ ส่วนกรณีวัคซีนส่วนเกินของ มลรัฐต่าง ๆ และสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและได้รับแจ้งว่า ยังไม่มีมาตรการส่งวัคซีนส่วนเกินบริจาคหรือขายต่อให้ประเทศอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ดำเนินการอย่างเต็มความสามารถในการประสานกับผู้แทนของฝ่ายสหรัฐฯ รวมถึงการพูดคุยกับสมาชิกวุฒิสภา Tammy Duckworth เพื่อขอรับการสนับสนุนการส่งมอบวัคซีนที่หน่วยราชการไทยได้สั่งซื้อโดยเร็ว และผลักดันการเข้าถึงวัคซีนที่สหรัฐฯ ไม่ได้ใช้ต่อไป
ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเกี่ยวกับการแสวงหาความร่วมมือด้านวัคซีนป้องกันโควิด-19 และความร่วมมืออื่นๆ แล้ว ดังนี้
1. จีน - รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือกับมนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีนในหลายโอกาส โดยไทยได้รับบริจาควัคซีน Sinovac จำนวน 1 ล้านโดส นอกจากนี้จีนยังอำนวยความสะดวกและติดตามการจัดหาวัคซีนของบริษัท Sinovac และบริษัท Sinopharm เพื่อประสานงานให้การจัดซื้อและส่งมอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
2. สหรัฐฯ - กระทรวงการต่างประเทศผลักดันความร่วมมือเพื่อเข้าถึงวัคซีนของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนของสหรัฐฯ ได้แก่ Pfizer Moderna Johnson & Johnson และ Novavax อย่างต่อเนื่องในทุกระดับ ทั้งในรูปแบบของการจัดซื้อ การขอรับความช่วยเหลือ และการเจรจาข้อตกลงการแลกเปลี่ยนวัคซีนล่วงหน้า (vaccine swap) โดยไทยได้รับบริจาควัคซีน Pfizer จำนวนกว่า 1ล้าน 5แสนโดส เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 และฝ่ายสหรัฐฯ มีแผนที่จะมอบเพิ่มเติมอีก 1 ล้านโดส
3. ญี่ปุ่น - กระทรวงการต่างประเทศทาบทามการแลกเปลี่ยนวัคซีน (vaccine swap) กับญี่ปุ่น และรัฐบาลญี่ปุ่นได้ส่งมอบวัคซีน AstraZeneca จำนวนกว่า 1,050,000 โดสให้แก่ไทยแล้ว และบริจาคเพิ่มให้อีก 300,000โดสโดยส่งมอบในวันที่ 8 กันยายน นี้ นอกจากนี้ ยังให้ความช่วยเหลือด้านการเฝ้าระวังตรวจหาเชื้อและส่งเสริมการวิจัยยารักษาโรค รวมถึงอุปกรณ์อีกกว่า 5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีแผนส่งมอบเครื่องผลิตออกซิเจนให้ไทย775 เครื่องมูลค่า 1.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกด้วย
4. สหราชอาณาจักร - ไทยได้ขอรับการสนับสนุนวัคซีน AstraZeneca ซึ่งสหราชอาณาจักรได้ส่งมอบวัคซีนให้จำนวน 415,000 โดสให้แก่ไทยด้วยแล้ว
5. ภูฏาน - รัฐบาลภูฏานกับรัฐบาลไทยได้เห็นชอบการแลกเปลี่ยนวัคซีนล่วงหน้า (vaccine swap) จำนวน 150,000 โดส บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์และความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ไทยและภูฏานมีร่วมกันอย่างใกล้ชิด
6. เยอรมนี - กระทรวงการต่างประเทศกำลังประสานการรับมอบ Monoclonal antibody (Casirivimab/Imdevimab) ซึ่งเป็นยารักษาผู้ป่วยโควิด-19อาการหนัก จากกระทรวงสาธารณสุขประเทศเยอรมนีของบริษัท Regeneron จำนวน 2,000 ยูนิตโดยเร็วที่สุด เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19
7. สวิตเซอร์แลนด์ - กระทรวงการต่างประเทศได้รับมอบเครื่องช่วยหายใจ 102 เครื่อง และชุดตรวจ Rapid Antigen 1.1 ล้านชุดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2564
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังอยู่ระหว่างการเจรจาความร่วมมือเพื่อการสรรหาวัคซีนจากอินเดีย เกาหลีใต้ และออสเตรเลียเพื่อสนับสนุนระบบสาธารณสุขของไทยอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น หากกระทรวงการต่างประเทศ “กลัวเสียหน้า” ที่จะรับความช่วยเหลือจากมิตรประเทศต่าง ๆ ตามที่ได้แจกแจงข้างต้น ความร่วมมือกับมิตรประเทศต่าง ๆ ที่เทมาให้ไทย คงไม่สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ ตรงกันข้าม เจ้าหน้าที่ทุกระดับของกระทรวงการต่างประเทศได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อพยายามทุกวิถีทางให้คนทุกกลุ่มในไทยเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสถานการณ์การระบาดในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากคิดด้วยเหตุผล ก็จะเข้าใจได้เองว่า หากประเทศไทยไม่อยู่ในสายตาของมิตรประเทศเหล่านี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ จะทุ่มเทให้ความช่วยเหลือเราอย่างทันควัน นั่นก็เพราะการดำเนินการทางการทูตของไทยทำให้ไทยได้รับการยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ ทำให้ต่างชาติเห็นว่าไทยเป็นมิตร จึงเป็นห่วงเป็นใยกันและประสงค์จะช่วยเหลือเราเพราะเราเองก็มีประโยชน์ต่อเขาเฉกเช่นเดียวกัน นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กระทรวงการต่างประเทศดำเนินนโยบายการต่างประเทศโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ ประชาชนชาวไทย และความโอบอ้อมเกื้อกูลต่อมิตรประเทศโดยสมดุลและมีประสิทธิภาพ จึงทำให้มิตรประเทศเล็งเห็นถึงความสำคัญของไทยในฐานะหุ้นส่วนที่มีศักยภาพและมีความห่วงใยต่อประชาชนชาวไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระทรวงการต่างประเทศประสบความสำเร็จในการแสวงหาความร่วมมือด้านวัคซีนกับประเทศต่าง ๆ ทำให้มีวัคซีนให้แก่ชาวไทยรวมถึงชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทยเพิ่มขึ้นโดยรวมอย่างน้อยกว่าสามล้านโดสจากการดำเนินการดังกล่าว
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังกล่าวด้วยว่า “ขออย่าด้อยค่าการทำงานของคนบัวแก้วที่ทุ่มเททำงานตลอด 24 ชั่วโมงอยู่ทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือคนไทยและช่วยประเทศเราแก้ปัญหาเร่งด่วนอันเป็นเป้าหมายสูงสุดในการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ การกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้ว ยังเป็นการให้ข้อมูลเท็จแก่ประชาชน และสร้างความเสียหายต่อทั้งข้าราชการและประชาชนให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดได้”