svasdssvasds

หมอคำนวณ แนะ เปลี่ยนยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีนโควิด-19 ลดอัตราการเสียชีวิต

หมอคำนวณ แนะ เปลี่ยนยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีนโควิด-19 ลดอัตราการเสียชีวิต

นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ แนะเปลี่ยนยุทธศาสตร์ฉีดวัคซีนโควิด-19 เน้นลดอัตราการเสียชีวิต ระดมฉีดให้ผู้สูงอายุ-ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เป็นกลุ่มแรก ! ถ้าไม่เช่นนั้น เดือนกันยายน อาจเสียชีวิตถึง 2.8 พันราย

วันนี้ ที่กระทรวงสาธารณสุข ในการเสวนา  “วัคซีนโควิด ไทยจะเดินต่อไปอย่างไร” นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ นายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิผู้เชี่ยวชาญในด้านระบาดวิทยา ที่ปรึกษาด้านวิชาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เสนอแนะ เปลี่ยนยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีน ลดอัตราการเสียชีวิต โดยมีรายละเอียดดังนี้

บรรยากาศของประเทศไทยตอนนี้ เหมือนกับเรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ โดยช่วง 3 เดือนจากนี้ คือเดือน ก.ค.-ก.ย.นี้ เรากำลังเลือกเอาว่า จะสามารถเปิดประเทศได้ หรือเรากำลังก้าวเข้าสู่วิกฤตที่กำลังถลำลึกลงไปอีก”

สายพันธุ์เดลตา มีแนวโน้มระบาดหนักในไทย

ตนอยากเสนอข้อเท็จจริง และทางเลือก 2 ทางเลือกที่จะฝ่าวิกฤตรอบนี้ จึงอยากจะขอให้ทุกฝ่ายช่วยคิดตาม ขณะนี้เราอยู่ในระลอก 3 จากสายพันธุ์อัลฟา ที่ติดต่อได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เราตั้งตัวไม่ทัน

เรามีคนไข้เสียชีวิตประมาณ 50 คนต่อวันในขณะนี้ คำถามว่าเดือนหน้า เดือนถัดไป อัตราการเสียชีวิตจะเป็นอย่างไรบ้างผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดลงความเห็นตรงกันว่า สถานการณ์จะแย่กว่าเดิม

เหตุผลเพราะสายพันธุ์ใหม่หรือสายพันธุ์เดลตา เข้ามายึดครองการระบาด ซึ่งข้อมูลของกรุงเทพมหานครตอนนี้อยู่ที่ 40% แล้ว ในไม่ช้าเดือนนี้หรือเดือนหน้าจะเป็นเชื้อเดลตาทั้งหมด ซึ่งสายพันธุ์นี้ มีความสามารถในการแพร่เชื้อเร็วกว่าสายพันธุ์เดิม 1.4 เท่า

นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ถ้าสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้ เดือนกันยายน จะมีผู้เสียชีวิต 2,800 ราย

เพราะฉะนั้นคิดง่ายๆ ว่าถ้าเผื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาเรามีคนเสียชีวิตทั้งเดือน 992 คน ซึ่งเป็นภาระใหญ่มาก ถ้าสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้

- เดือนกรกฎาคม เราจะมีคนเสียชีวิตประมาณ 1,400 ราย

- เดือนสิงหาคม 2,000 ราย

- และพอถึงเดือน ก.ย.จะมีผู้เสียชีวิตเป็น 2,800 ราย

“ตอนนี้เรามีผู้เสียชีวิต 900 กว่าคนยังทำให้ระบบสาธารณสุขเดินหน้าต่อไปไม่ได้ และถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปก็แน่นอนว่า เราจะไม่สามารถไปรอดได้" นพ.คำนวณ กล่าว

เสนอทางเลือก

นพ.คำนวณ กล่าวต่อว่า แต่มันมีทางออกคือร้อยละ 80 ของคนที่เสียชีวิตเป็นคนสูงอายุหรือเป็นคนที่มีโรคประจำตัว ถ้าเราสามารถปกป้องคนกลุ่มนี้ได้ ก็จะลดการเสียชีวิตลงได้อย่างมาก และอยู่ในวิสัยที่เราจะแก้ปัญหาได้

จากตัวเลขคนสูงอายุติดเชื้อ 100 คนจะเสียชีวิต 10 ราย แต่ถ้าอายุน้อยแต่ติดเชื้อ 1 พันคน จะเสียชีวิต แตกต่างกันมาก เพราะฉะนั้นเรามีอาวุธที่ดีคือวัคซีน เป้าประสงค์แรกเราต้องการลดการเจ็บหนัก ลดการเสียชีวิตก่อน

วัคซีนทุกตัวที่องค์การอนามัยโลกขึ้นทะเบียนส่วนใหญ่ได้ผลในการลดอาการหนัก ลดการเสียชีวิตได้ประมาณ 90% ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปสนใจเรื่องยี่ห้อ

นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์

แนะ เปลี่ยนยุทธศาสตร์ เป็นลดอัตราการเสียชีวิต

ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังใช้ยุทธศาสตร์ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่คือการฉีดแบบปูพรมให้คนไทยได้วัคซีน 70% โดยหวังว่าถ้าเราทำได้แบบนั้นจริงจะมีการติดเชื้อน้อยลง คนจะเสียชีวิตน้อยลง แต่ปัญหาถ้าเราจะทำอย่างนั้นได้ คือเรามั่นใจหรือไม่ว่า 70% จะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้

นักวิชาการบางส่วนบอกว่าไม่ได้ เพราะในอังกฤษเริ่มมีคนติดเชื้อเยอะขึ้น เพราะฉะนั้นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ อาจจะต้องไปถึง 90% และต้องใช้วัคซีนที่ดีมากๆ

แต่ถ้าเราต้องการลดการเสียชีวิตเราสามารถเปลี่ยนยุทธศาสตร์ได้ด้วยการใช้ยุทธศาสตร์แบบมุ่งเป้า ซึ่งเดิมเราใช้ยุทธศาสตร์ 2 ขั้นตอน

ระยะแรกคือมุ่งเป้าฉีดคนสูงอายุ และกลุ่มเสี่ยงให้จบภายในเดือน กรกฎาคม -สิงหาคม แต่ ตอนหลังเนื่องจากเรามีความต้องการเยอะมาก เราต้องการให้ภาคโรงงานไม่เจ็บป่วย เราต้องการควบคุมการระบาด เวลาเกิดการระบาดในชุมชนเราจะไปฉีดวัคซีน เราต้องการเปิดโรงเรียน เราก็เอาวัคซีนไปให้กับสถาบันต่างๆ เราต้องการเปิดแหล่งท่องเที่ยว ก็เอาวัคซีนไปให้ ซึ่งเป็นความคิดที่ดี แต่การจะทำอย่างนั้นได้มีเงื่อนไขสำคัญ คือ

1. เราต้องมีวัคซีนไม่จำกัด มีมากเพียงพอ

2. เรามีขีดความสามารถในการฉีดได้อย่างรวดเร็ว เพราะสปีดการแพร่ระบาดเร็วมาก ตอนนี้ทุกประเทศยอมรับกันหมดว่าไม่มีประเทศไหนที่จะมีวัคซีนไม่จำกัด แม้กระทั่งอเมริกา อังกฤษ หรือยุโรปซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนเอง ก็ยอมรับว่าไม่สามารถใช้วิธีการฉีดปูพรม สร้างภูมิฯ หมู่ได้อย่างรวดเร็ว จึงมาใช้การลดการป่วยการเสียชีวิตก่อน

หากสังเกต 1 เดือนที่ผ่านมาขีดความสามารถในการฉีดวัคซีนของไทยไม่ได้เป็นคำถาม เพราะเราฉีดได้ 10 ล้านคน แต่ใน 10 ล้านคนเมื่อดูแล้วคนสูงอายุได้แค่ 10% ถ้าเราเดินแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพิ่มไปได้แค่เดือนละ 10% เราอาจจะต้องใช้เวลา 7-8 เดือนกว่าจะป้องกันคนสูงอายุได้

วัคซีนโควิด-19

ระยะฉีดวัคซีนให้กลุ่มผู้สูงอายุ ลดอัตราการเสียชีวิต

ทางเลือกที่ 1  คือ ทำแบบเดิมจะเห็นผลก็ต่อเมื่ออีก 5 - 6 เดือนซึ่งจะไม่ทันกับปัญหาวิกฤตของเตียง

ทางเลือกที่ 2  คือ เปลี่ยนเอาวัคซีนที่มีอยู่ในมือ ถ้าเรายอมรับว่าวัคซีนมีอยู่จำกัด และพยายามหามาเดือนละ 10 ล้านโดสนั้น แต่ถ้าเผื่อไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ เอาวัคซีนที่มีทั้งหมดในมือมาทำความตกลงกันไว้ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ศบค. ผู้ว่าราชการจังหวัด

ต้องวางเป้าหมายแรกลดเจ็บหนักและเสียชีวิตในกลุ่ม ผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยงก่อน ซึ่งเรามีกลุ่มนี้ 17.5 ล้านคน ตอนนี้เราฉีดได้ 2.5 ล้านคน อีก 15 ล้านคนเราต้องการฉีดให้จบภายใน 2 เดือน

หากเราเลือกทางที่ 2 เราจะลดการเสียชีวิตได้ โดยแทนที่จะเป็นหลักพันคนในเดือนก.ค. แต่พอเดือนส.ค. จะเหลือประมาณ 800 คนเดือน ก.ย. จะเหลือประมาณ 600-700 ราย หรือวันละประมาณ 20 คนอยู่ในวิสัยที่ระบบสาธารณสุขยังเดินหน้าต่อไปได้

แต่ถ้าเราเดินยุทธศาสตร์เดิมและเราจะมีปัญหามาก วันนี้เราปิดกิจการต่างๆ ปิดแคมป์ แต่จำนวนคนเจ็บจะมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งต้องปิดมากขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งไม่เป็นผลดีเพราะเศรษฐกิจเดินไม่ได้

แต่ถ้าเอาแบบหลังอาจจะไม่จำเป็นต้องปิดมากขึ้น แต่สามารถผ่อนคลายได้ แต่ถ้าต้องการลดการสียชีวิตอีก ก็ต้องทำเรื่องของเตียงเพิ่ม และค้นหากลุ่มเสี่ยงให้เร็ว

เพราะฉะนั้นอยากจะสรุปว่า ตอนนี้ผู้บริหาร ท่านนายกฯท่านรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อท่านได้โควต้าวัคซีนไป คำถามคือว่าท่านจะฉีดให้ใครก่อน

หากท่านเลือกทางเลือกแรก หลายจุดมุ่งหมายการคาดการณ์ คือ จำนวนผู้ป่วยจะเกินแล้วเรารับไม่ไหว แต่ถ้าทุกคนเห็นตรงกันว่าเอาวัคซีนให้กับคนสูงอายุ คนมีอายุมีโรคประจำตัวก่อน เรื่องนี้ทางวิชาการมีแล้ว ในอังกฤษ อเมริกาก็ทำ ซึ่งแม้ยังมีจำนวนคนติดเชื้อ แต่คนตายไม่เยอะก็จะไม่มีปัญหาเท่าไร

ที่สำคัญ ศบค. สามารถออกคำสั่งให้ผู้ว่าฯ ดำเนินการ หากไม่มีไกด์ไลน์ชัดเจน ทางผู้ว่าฯ ก็จะไม่สามารถจัดการได้ แต่หากมีชัดเจน ก็จะทำได้ทันที

ที่มา Hfocus : “หมอคำนวณ” เสนอทางเลือกลดวิกฤตโควิดระบาด ก่อนผู้เสียชีวิตพุ่งเดือน ก.ย. 2.8 พันราย

กระทรวงสาธารณสุข : เสวนา “วัคซีนโควิด ไทยจะเดินต่อไปอย่างไร”

related