เงินเข้าแล้วม.33 เรารักกัน ตามนโยบายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ประเดิมแจก 1 พันบาทให้มนุษย์เงินเดือนตามมาตรา 33 เรารักกัน เผยยอดเงินเก่าสามารถนำรอบใหม่มารวมขยายใช้ได้ถึงสิ้น มิ.ย. "อนุชา" ร่ายยิบ "ลุงตู่" ไม่ทิ้งรากหญ้าและกลุ่มเปราะบาง
วันที่ 24 พ.ค. เป็นวันแรกที่รัฐบาลจะโอนเงินเข้าแอปพลิเคชันเป๋าตังให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จำนวน 1,000 บาท ตามโครงการ ม.33เรารักกัน ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในการเยียวยาผลกระทบโควิด-19 ระลอก 3 เป็นการเร่งด่วน ในวงเงินรวม 2,000 บาท ซึ่งการโอนเงินเข้าเป๋าตังครั้งต่อไปนั้นคือวันที่ 31 พ.ค.นี้
ทั้งนี้ กรณีผู้ได้รับสิทธิ ม.33เรารักกันรอบแรก 4,000 บาท แต่ยังใช้ไม่หมดนั้น ไม่จำเป็นต้องรีบใช้ภายในวันที่ 31 พ.ค. เนื่องจากเงินรอบใหม่ที่โอนเข้ามาจะรวมกับยอดเงินเก่า และสามารถนำไปใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย.2564
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้สานต่อแนวทางการพัฒนาระบบสวัสดิการเพื่อผู้มีรายได้น้อยและประชาชนกลุ่มเปราะบาง ตามนโยบายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะการช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้มีรายได้น้อย 14.6 ล้านคน เช่น การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ก๊าซหุงต้ม ค่าโดยสารรถสาธารณะ โดยช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวเมื่อปี 2562 รัฐบาลได้จ่ายเงินเพิ่มให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ เป็นเวลา 2 เดือน เพื่อพยุงการบริโภคของประชาชน 500 บาท/คน/เดือน ช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ถือบัตร 500 บาท/คน/เดือน และช่วยเหลือการเลี้ยงดูบุตรของผู้ถือบัตร 300 บาท/คน/เดือน นอกจากนี้ยังออกมาตรการช่วยเหลือต่อเนื่องเป็นเวลา 12 เดือน คือมาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าให้กับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 230 บาท/ครัวเรือน/เดือน มาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำประปาให้กับผู้ที่ใช้น้ำไม่เกิน 100 บาท/ครัวเรือน/เดือน และมาตรการชดเชยเงินจากภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อผู้ถือบัตรจ่ายค่าสินค้าหรือบริการผ่านบัตรสวัสดิการฯ โดยโอนเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งพักชำระหนี้แก่ผู้ถือบัตรเป็นเวลา 2 ปี และยกระดับร้านค้าธงฟ้า พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น มีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 121,000 ราย เกิดการใช้จ่ายผ่านบัตรมากกว่า 90,000 ล้านบาท
นายอนุชากล่าวอีกว่า ในปี 2563 ในช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด รัฐบาลได้จ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ 3,000 บาท/คน และเพิ่มวงเงินซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคระยะที่ 1 อีก 500 บาท/คน/เดือน เป็นเวลา 3 เดือน จากนั้นในปี 2564 ผู้ถือบัตรยังได้รับเงินช่วยเหลือ 7,000 บาท/คน ตามโครงการเราชนะ และได้รับวงเงินซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคระยะที่ 2 อีก 500 บาท/คน/เดือน เป็นเวลา 3 เดือน ส่วนประชาชนกลุ่มเปราะบาง รัฐบาลจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันได ตั้งแต่ 600-1,000 บาท/คน/เดือน ปรับเบี้ยความพิการระยะที่ 1 จาก 800 บาท/เดือน เป็น 1,000 บาท/เดือน และระยะที่ 2 กำหนดอัตราเบี้ยขั้นต่ำ 1,000 บาท/เดือน และสูงสุด 2,270 บาท/เดือน ซึ่งกรณีที่มีความยากลำบากทางการเงินให้สมทบเพิ่ม 1,200 บาท/เดือน และกรณีที่มีความพิการระดับรุนแรงสมทบเพิ่ม 1,870 บาท/เดือน และยังจ่ายเงินอุดหนุนตามโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 600 บาท/คน/เดือน จนอายุครบ 6 ปี โดยในปี 2563 ได้เพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณจากปีก่อนหน้าถึง 7,390.87 ล้านบาท นอกจากนี้ ประชาชนกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก ผู้พิการ และผู้สูงอายุ ยังได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลในช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาดอีกคนละ 3,000 บาทอีกด้วย