สรุปประเด็นเพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่อง Fake News โดย 3 วิทยากร จากงานสัมมนาไฮบริดเนื่องใน วันตรวจสอบข่าวลวงโลก (International Fact-Checking Day 2021) ความท้าทายในการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 ณ โรงแรมศิวาเทล กรุงเทพฯ
_____________________________________
ข่าวลวง หรือ Fake News ที่แชร์ต่อๆ กันไป ทั้งด้วยความไม่รู้ ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม สามารถสร้างความเสียหายให้ชีวิตและทรัพย์สินได้เกินกว่าที่ใครๆ จะคาดคิด
ประเด็นนี้เกิดขึ้นรอบโลก หลายประเทศให้ความสำคัญจนมีการจัดตั้ง เครือข่ายองค์กรตรวจสอบข่าวสากล (IFCN : International Fact-Checking Network) ขึ้น และเครือข่ายนี้ได้กำหนดให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปี เป็น วันตรวจสอบข่าวลวงโลก (International Fact-Checking Day) โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2016 เพื่อให้ชาวโลกตื่นตัว ตระหนักถึงการใช้ประโยชน์จากข้อมูลหรือข่าวสารอย่างถูกต้อง การตรวจสอบข้อมูลบนโลกออนไลน์ว่าจริงหรือเท็จ เชื่อถือได้หรือไม่ ควรแชร์ต่อไหม แชร์แล้วจะมีหรือไม่มีปัญหาตามมา ฯลฯ
เห็นได้ชัดว่าช่วงที่ COVID-19 ระบาดหนัก มีสารพัดข่าวลวงมาทำให้คนเข้าใจผิด ปฏิบัติตามแบบผิดๆ ทำให้สังคมหวั่นวิตก เครียด ไปจนถึงเพิ่มความเกลียดชังและความรุนแรงในด้านต่างๆ
ประเทศไทยให้ความสำคัญของปัญหาการเผยแพร่ข่าวลวงและมีหลายภาคส่วนจัดตั้งองค์กรหรือสร้างเครื่องมือขึ้นมาช่วยตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง เช่น โคแฟค (Cofact), ชัวร์ก่อนแชร์ นำมาสู่การรวมตัวกันในงานสัมมนาไฮบริดเนื่องใน 'วันตรวจสอบข่าวลวงโลก' (International Fact-Checking Day 2021) 'ความท้าทายในการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน' ซึ่งเป็นเวทีประกาศเจตนารมณ์ในการทำงานเพื่อให้ผู้คนในสังคมตื่นตัว รู้เท่าทันและรับมือโรคระบาดด้านข้อมูลข่าวสารได้
งานนี้องค์กรที่เป็นหัวหอกคือ โคแฟค ประเทศไทย, เครือข่ายองค์กรตรวจสอบข่าวสาร (IFCN) ที่มีสมาชิกเป็นองค์กรตรวจสอบข้อมูลข่าวสารครอบคลุมในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งเน้นที่ 'ข้อมูลด้านสุขภาวะ'
ส่วนเครือข่ายภาคี 39 องค์กรนั้น มีทั้งที่เป็นสถาบันการศึกษา องค์กรภาคประชาสังคม ภาคเอกชน องค์กรสื่อมวลชน ที่ร่วมประกาศเจตนารมณ์ ต้านข่าวลวง ผ่านการจัดกิจกรรมทั้งในเชิงวิชาการ กิจกรรมสัมมนากับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อส่งต่อความรู้ ทักษะ และเครื่องมือให้แก่พลเมืองยุคดิจิทัล ในระหว่างวันที่ 2 เมษายน 2564 ถึง 2 เมษายน 2565
"เรามุ่งหวังว่าผู้คนในสังคมจะให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริงและการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้มากขึ้นในยุคดิจิทัลที่ข่าวลือข่าวลวงเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วและไม่มีจุดจบสิ้น" สายใจ เลี้ยงพันธุ์สกุล ผู้อำนวยการองค์กร Phandeeyar กล่าวภายในงาน
• เครื่องมือช่วยตรวจสอบข่าวหรือ Fact Checking นั้นจำเป็นมาก เพราะเมื่อข้อมูลเท็จเข้าสู่โลกออนไลน์ การแชร์ต่อเป็นวงกว้างยิ่งจะทำให้คนเข้าใจผิด แต่ถ้าจะให้มีคนตรวจสอบข้อเท็จจริง สแกนทุกข่าวที่ปรากฏก็เกินกำลัง ดังนั้น จึงต้องมีเครื่องมือเข้ามาช่วยตรวจสอบ แต่หากมีเครื่องมือที่ไม่มีความสามารถมากพอ การตอบสนองต่อข้อมูลไม่เพียงพอ ข่าวหรือข้อมูลผิดๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อสังคม เช่น 5G เร่งการระบาด 'ไวรัสโคโรน่า', กินยาลูกกลอนแล้วจะหายจาก COVID-19
• ต้นปี 2020 โมเดลตรวจสอบข่าว/ข้อมูล Fact Checking ในสหรัฐอเมริกายังไม่แพร่หลาย ความถูกต้องแม่นยำก็ยังไม่มาก แต่เมื่อมีข้อมูล หรือ Data จำนวนมากเข้าสู่ระบบเพราะผู้คนอยากรู้เกี่ยวกับ COVID-19 การตรวจสอบความถูกต้องจึงได้รับการพัฒนาและใช้งานในระดับภูมิภาคมากขึ้น ส่งผลให้ได้ฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ได้รับฟีดแบ็กในทางที่ดี ผู้คนให้ความสนใจและตื่นตัว
• ความท้าทายสำคัญของการตรวจสอบข้อมูลคือ การหาต้นตอของแหล่งข้อมูลเท็จ ซึ่งยากกว่าการหาต้นทางของโรคระบาด เพราะข้อมูลเท็จสามารถปรากฏในภาษาอื่นๆ ได้ ดังนั้น เพื่อต่อสู้กับปัญหานี้ คนที่ต้องทำงานด้านการตรวจสอบข้อมูลต้องร่วมกับหลายๆ หน่วยงาน
• Fact Checking เป็นเรื่องสำคัญ IFCN จึงดำเนินการกับแพลตฟอร์มโซเชียล มีเดีย เช่น Facebook, Youtube นอกจากนี้ยังดึงหน่วยงานอื่นๆ เข้ามาช่วยตรวจสอบว่าข้อมูลใดถูกต้อง ข้อมูลใดเป็นเท็จ ส่งผลให้มี Data เข้ามาในปริมาณมาก
• ยกตัวอย่าง ตุรกี บ้านเกิดของ Baybars Orsek ที่มีการเผยแพร่ข่าวลวงจำนวนมาก ภาครัฐของตุรกีจึงจัดตั้งทีมทำงาน Fact Checking ขึ้น ต่อมาก็ดำเนินงานแข่งกับองค์กรเอกชน เพราะต่างฝ่ายต่างก็รีบตรวจสอบ เพื่อให้คนรู้ว่าเรื่องไหนจริงหรือเท็จได้เร็วขึ้น
• หลังจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมจะมีส่วนร่วมมากขึ้นในการผลักดันข้อมูลที่ถูกต้องในโซเชียล มีเดีย และจะต้องไม่สร้างความเสียหายให้แก่บุคคลทั่วไป
• คำว่า Fact Checker หรือ ผู้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล มีมานานแล้ว และไม่ว่าจะเป็นวัยเรียน วัยทำงาน หรือสูงวัย ทุกคนก็สามารถเป็น Fact Checker ได้
ผู้ร่วมเสวนา มีดังนี้
- สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค COFACT Thailand
- พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย บมจ. อสมท.
- ณัฐกร ปลอดดี บรรณาธิการ Fact-Check สำนักข่าวเอเอฟพี ประจำประเทศไทย
- ระวี ตะวันธรงค์ นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) SpringNews/The Nation Thailand
- สันติภาพ เพิ่มมงคลทรัพย์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย
สรุปพฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ผ่านสายตา ‘ระวี ตะวันธรงค์’
• คนไทยเป็นกลุ่มที่ใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียล มีเดีย อย่างหนักหน่วง (Heavy User) ซึ่งการติดตามนั้นไม่ได้อิงกับสื่อ (Media) แต่อิงกับแพลตฟอร์ม นั่นคือ LINE, Facebook, Youtube โดยในปีที่ผ่านมา Youtube ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง
• จากประสบการณ์ที่เคยรวบรวมสถิติประยุกต์ด้านประชากรศาสตร์ คนไทยจำนวน 67 ล้านคน มีผู้ใช้งานโลกออนไลน์ อยู่ใน 5 จังหวัดหลัก 50% ของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ พัทยา นครราชสีมา และภูเก็ต นั่นหมายความว่า คนที่อยู่จังหวัดอื่นอาจไม่เห็นข้อมูลหรือไม่ได้รับข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบแบบ Fact Checking
• จำนวนผู้ใช้งาน Twitter ในไทยมีอยู่ 11 ล้านคน เป็นผู้ใช้งานใน กทม. ถึง 80% อีก 20% กระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ
• LINE เข้าถึงคนมากที่สุดเพราะการสื่อสารอยู่บนพื้นฐานของ คนรู้จัก จึงเชื่อข้อมูลที่ส่งมาและแชร์ต่ออย่างง่ายดาย โดยเฉพาะคนที่มีอายุ 50+ ปีขึ้นไป
แนวทางที่ควรรู้และปฏิบัติ โดย พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย บมจ. อสมท.
• เรื่องไหนที่ต้องเช็ค กรองแล้วเลือกเรื่อง ตรวจสอบ เสร็จแล้วส่งไปถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธีใดหรือช่องทางไหน ควรเริ่มจาก Collect - Choose - Check - Create
• มองว่าการทำ Fact Checking มี 3 ความท้าทาย
- Speed & Time ความเร็วและเวลาในการแพร่กระจายข่าว
- Sources คนที่ส่งต่อข้อมูลได้
- Receiver ผู้รับข้อมูล ซึ่งอาจมีความคิดหรือความจริงของตัวเอง หากถูกปลูกฝังความคิด อาจนำไปสู่การใช้อาวุธโจมตี ขยายความเกลียดชังให้รุนแรงออกไป
• FOMO ทำให้คนอยากรู้ตลอดเวลา เป็นหนึ่งในแรงกดดันของ Fact Checker เพราะคนต้องการคำตอบ แต่ Fact Checker ยังไม่สามารถนำเสนอได้ เพราะบางอย่างเป็นกระแสในโซเชียล มีเดีย แพร่กระจายเร็วกว่าการใช้เวลาตรวจสอบ
• เราต้องสร้าง สื่อหลากหลายประเภทแล้วสื่อสารออกไป เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันข่าวลวงมากขึ้น เช่น ขยายจากข่าวในทีวีไปยังสื่อต่างๆ ตรงนี้จะช่วยลดความท้าทายของการตรวจสอบข้อมูลได้
การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีองค์กรภาคีถึง 39 องค์กร มาร่วมจัดกิจกรรมเพื่อให้พลเมืองยุคดิจิทัลรู้เท่าทัน รับข้อมูลข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณ ส่งต่อข้อมูลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ทั้งยังลดหรือปิดโอกาสที่ข่าวลวงจะแพร่กระจายออกไป