หนึ่งในประเด็นที่ร้อนแรงมากที่มีการพูดถึงในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา คือเรื่องปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน โดยนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลวในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ
โดยมีการเปรียบเทียบว่าตั้งแต่นายกรัฐมนตรีเข้ามาดำรงตำแหน่งปี2557 ถึงปี 2563 พบว่า ค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเพียง 12 % แต่ข้าวผัดกะเพรา ไข่ดาว กลับมีราคาเพิ่มสูงถึง 133.33 % ส่วนสาเหตุที่นำข้าวผัดกะเพรามาเทียบเคียงนายมิ่งขวัญ ชี้แจงว่า เพราะเป็นอาหารที่คนไทยคุ้นเคยและนิยม อีกทั้งวัสดุดิบต่าง ๆในการประกอบอาหาร ก็มีอยู่ภายในประเทศ ไม่ได้มีการนำเข้าจากต่างประเทศแต่อย่างใดจึงสะท้อนให้เห็นถึงค่าครองชีพของที่สูง ซึ่งสวนทางกับรายได้ที่ต่ำของคนไทยได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามจากการอภิปรายในครั้งนี้ และประเด็นนี้ทำให้ประชาชน โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ที่มีการพูดถึงเรื่องนี้กันมาก วันนี้ “สปริง” จะลองพามาเปรียบเทียบว่าในแต่ละปีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ค่าแรงขั้นต่ำของประเทศไทยอยู่ที่เท่าไหร่ และเมื่อเทียบกับราคาข้าวกะเพราที่ได้อ้างถึงราคาในตอนนั้นเราจะสามารถนำเงินที่ได้ค่าจ้างรายวันไปซื้อกะเพราได้กี่จาน
เริ่มจากปี พ.ศ. 2557 -2558 ยุคนั้นค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 300 บาท /วัน ส่วนราคาข้าวกะเพรายุคนั้นอยู่ที่จานละ 25-30 บาท หากลองเทียบดูกับค่าแรงตอนนั้นเราสามารถซื้อข้าวกะเพราได้ประมาณ 10 จาน ต่อมาคือ 2559-2560 ค่าแรงอยู่ที่ 310 บาท/วัน ส่วนราคาข้าวกะเพราะอยู่ที่จานละ 30-40 บาท หากลองเทียบดูค่าแรงตอนนั้นสามารถซื้อข้าวกะเพราได้ประมาณ 7-8 จาน ถัดมาคือปี 2561-2562 ค่าแรงขั้นต่ำ 325 บาท/วัน ส่วนราคาข้าวกะเพราจานละ 40-50 บาท หากลองเทียบดูค่าแรงตอนนั้นสามารซื้อข้าวกะเพราได้ประมาณ 6-7 จาน
สุดท้ายคือปี 2563 ค่าแรง 336บาท/วัน ราคาข้าวกะเพราะจานละ50-70 บาท หากลองเทียบดูค่าแรงปี2563สามารถซื้อข้าวกะเพราได้ประมาณ 5-6 จาน นี่คือเรื่องราวที่ลองเปรียบเทียบให้ดู ซึ่งหากถ้าเป็นตามที่ถูกกล่าวอ้างถึงก็จะทำให้เห็นได้ว่าค่าครองชีพมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี !