"คำนิยามของแม่เลี้ยงเดี่ยวจริงๆ แล้วมันชัดเจนในตัวของมันอยู่แล้ว คือผู้ที่เลี้ยงบุตรมาด้วยตัวของตัวเองกำลังทรัพย์ของตัวเอง และการอบรมสั่งสอนของตัวเอง"
"แอนนี่ บรู๊ค" เผยถึงความหมายของคำว่า "แม่เลี้ยงเดี่ยว" หลังได้พิสูจน์ตัวเองจากการเลี้ยงลูกตัวคนเดียวมาตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี รวมถึงชีวิตสุดสตรองที่ต้องเจอกับคำติฉินนินทา และทัศนคติในสังคมไทยที่ยังเหมารวมคนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเป็นผู้หญิงที่ไม่มีใครเอา ทั้งหมดนี้ล้วนกลายเป็นบทเรียนชีวิตให้เธออย่างไรต้องไปฟังจากปาก "แอนนี่ บรู๊ค"
"จะบอกว่าทัศนคติเรื่องของแม่เลี้ยงเดี่ยวในบ้านเรายังเป็นทัศนคติเหมารวมผู้หญิงที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวจะต้องเป็นเกิดจากผู้หญิงที่ไม่ดี เกิดจากผู้หญิงที่ประพฤติตนไม่ค่อยดีก็เลยไม่มีใครเอา จริงๆ แล้วต้องแยกแม่เลี้ยงเดี่ยวมีอยู่ 2 แบบ แบบแรกเลยก็คือตั้งใจแล้วที่จะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็คือตอนที่เราเป็นแฟนกัน ผู้ชายเขาถึงบอกว่าผู้ชายมีกิเลสอยู่ที่ตาก็คือเวลาเห็นผู้หญิงสวยไม่ได้เลย แต่ผู้หญิงมีกิเลสอยู่ที่หูคือได้ยินได้ฟัง"
"และส่วนมากสมมุติแฟนบอกเราว่าไม่เป็นไรนะเดี๋ยวจะดูแลเอง รักนะ ผู้หญิงก็จะเผลอคล้อยตามไปและก็อาจจะอยู่ด้วยกันไปเกิดการตั้งครรภ์เกิดขึ้นโดยที่ไม่ทันระมัดระวัง หรือบางคนก็คือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ขยายความนิดนึงว่ารู้เท่าคือรู้แหละว่ามันจะเกิดขึ้นแต่ไม่ได้คาดการณ์ว่ามันน่าจะเกิดขึ้น พอหลังจากนั้นก็คือมันตั้งเก้าเดือน"
"คนเราอยู่ด้วยกันมันก็ต้องทะเลาะจนมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ต้องแยกทางหรือเลิกร้างกันไป หรือผู้ชายไม่มีความรับผิดชอบไม่พร้อมหรือไม่พอแล้วจึงเลิกรากันไป ผู้หญิงตัดสินใจที่จะเก็บลูกไว้เพราะมาถึงครึ่งทางแล้วก็คอนทินิวที่จะเป็นซิงเกิ้ลมัมต่อไปอันนี้เป็นความตั้งใจของการเป็นซิงเกิ้ลมัมแต่มีซิงเกิ้ลมัมอีกประเภทนึงเป็นซิงเกิ้ลมัมที่ฉันไม่ได้ตั้งใจแต่มันเกิดขึ้น"
"ซิงเกิ้ลมัมโดยที่ถูกยัดเยียดให้เป็นซิงเกิ้ลมัมโดยไม่มีสติ หรือเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่เลวร้ายขึ้นในชีวิตของผู้หญิงคนนั้นจนเขามีบุตรขึ้นมาแต่เขาก็เลือกที่จะเก็บไว้และก็ต้องทนกับคำนินทา แต่ซิงเกิ้ลมัมทั้งสองแบบนี้นะคะเหมือนกันตรงที่ว่าถูกทัศนคติเหมารวมว่าเธอเหล่านั้นคือคนที่ไม่ดีคือคนที่ผู้ชายไม่เอา"
"วันนั้นไปทานข้าวที่ตลาดนัด นั่งติดกันเลยแล้วเขาก็เลื่อนหน้าเฟซเขาแล้วเขาก็นังนั่นคือจริงๆ มันมีคำที่หยาบคายกว่านั้นใส่มาเต็มเหนี่ยวเลย แอนหลับตาแล้วพี่ก็นั่งแบบว่า ที่ฉันเคยเห็นในละครเนี่ยมันก็เจอกับตัวฉันจริงๆ ตรงหูเลยมันเป็นการทำให้แอนอดทนสร้างความอดทน นี่แหละมันไม่ใช่ตัวหนังสือเลยนะมันเป็นคำพูดเลยแหละเป็นสีหน้าท่าทางเลยคือชิงชังมาก เกลียดมากเลยไม่เคยเจอกันมาก่อน แอนนับหนึ่งถึงสิบในใจแล้วก็หันไปเบาๆ อยากรู้อะไรถามเราได้นะข่มจิตใจอย่างแรงกล้ามาก กลั้นน้ำตาอย่างสุดชีวิตแล้วข้างในคือแตกสลายมากเพราะว่าเราไม่เคยรู้จักกันเลย เธอกล้าด่าฉันขนาดนี้เลยหรอ แล้วเขาก็หันมาพี่หนูขอโทษ หนูขอโทษแล้วแบบหน้าคือซีด"
"แอนว่ามันแรงมากมันแรงกว่าตัวหนังสือ เพราะฉะนั้นพี่ถึงบอกว่าถ้าเป็นสื่อโซเชียลแอนผ่านได้สบายเพราะแค่ตัวหนังสืออ่านก็ได้ไม่อ่านก็ได้เพราะวันนึงแอนเคยเจอตรงหน้าแอนแล้ว ไม่งั้นแอนคงไม่กล้าคือลูกก็ยังเล็กแต่ก็ต้องออกไปซื้อของ แม้แต่ในวันที่เราเป็นข่าว ณ วันนั้นเราก็ยังจะต้องอุ้มลูกไปซื้อแพมเพิร์ส ซื้อข้าวโน่นซื้อนี่ต้องไปห้างต้องไปอะไรมันยังต้องไป นั่นไงๆ นี่ไงๆ นั่นไงๆ ซุบซิบๆ แอนว่าถ้าแอนแบบว่าคอยเปิดหูพี่ไว้ตลอดเวลาแอนตายแน่เลย แอนก็เลยแบบว่าลองๆ ฝึก ฝึกให้ตัวเองเนี่ยลองฝึกดูซิให้ไม่ได้ยินเสียงอะไรพวกเนี่ยก็คือให้อยู่กับสติอยู่กับปัจจุบันอยู่กับลูกอยู่กับสิ่งที่แอนกำลังเห็น แล้วหูแอนไม่ได้ยินอะไรเลยนะมันเป็นอัติโนมัติมาก"
"มันสอนให้พี่เป็นคนมากขึ้น เมื่อก่อนพี่เป็นแค่วัยรุ่นธรรมดาคือก็เติบโตตามวัย เป็นวัยรุ่นคึกคะนองสนุกสนานทุกคนเป็นหมด แต่พอเรามีลูกความคิดมันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลย แรกๆ ก็ยังแบบคลอนแคลนก็ยังยังไงดี ยังนับหนึ่งยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเราจะต้องไปยืนอยู่ตรงจุดไหน เราจะเป็นยังไงเพราะว่าสิ่งที่ผ่านมาดูหนักหนาเหลือเกินสำหรับเราคือมันไม่ใช่แค่หนึ่งหมู่บ้านหรือหนึ่งตำบลแต่มันคือคนทั้งประเทศหรือส่วนนึงของประเทศที่เขาแบบว่ามองไปแล้วว่าเราไม่ดีหรืออะไรก็แล้วแต่ตัดสินเราไปแล้วเยอะนะเป็นจำนวนที่เยอะมากนะแต่เราก็มานั่งมองในระหว่างนั้น พี่ก็เริ่มศึกษา เริ่มศึกษาตัวเองว่าซิงเกิ้ลมัมจะต้องเป็นคนที่ไม่ดีจริงๆ หรอ กลายเป็นว่าเราเริ่มนับหนึ่งใหม่ค่อยๆ พัฒนาตัวเองเรียนรู้ไปพร้อมกับการเลี้ยงลูก"
"7 ปีแรกของเด็กไม่ต้องไปใส่อะไรให้เขานะ ไม่ต้องไปบอกเขาว่าชีวิตของเรามันลำบากยังไงเรา อย่าเพิ่งใส่ใจเย็นๆ แล้วก็อย่ายัดเยียดในสิ่งที่เป็นความโกรธแค้นของเราให้กับลูก พอซักเจ็ดแปดขวบเขาจะเริ่มไม่ได้โฟกัสของเล่นแล้ว เขาจะเริ่มมาโฟกัสที่ตัวเขาเองและคนรอบข้าง เพราะลูกแอนประมาณเจ็ดแปดขวบเริ่มถาม เริ่มมีคำถามจากอาจจะมาจากโรงเรียนหรือมาจากการที่เห็นคนอื่นเขามีหรือไม่มีเขาก็จะกลับมาถามเราว่าทำไมเขาถึงไม่มี"
ตอนนี้แหละที่เราจะค่อยๆ อธิบายแต่ต้องอธบายไม่ใช่ว่าทั้งหมดเพราะว่าเขาไม่สามารถเข้าใจได้เด็กเจ็ดแปดขวบ ตอนแรกๆ ก็อาจจะเป็นคำพูดที่สวยหน่อยประดิษฐ์ประดอยหน่อย ก็คือคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วยกันไม่ได้นะ น้องเคยทะเลาะกับเพื่อนที่โรงเรียนไหม น้องมีความรู้สึกอย่างไงเวลากับเพื่อนน้องชอบไหม อาจจะเป็นอาจจะไม่ได้พูดทั้งหมดแต่ว่าเราต้องค่อยๆ กล่อมเกลาก่อน"
"เพราะว่าเด็กยังเป็นผ้าขาวจะเอาสีหนักๆ ไปป้ายเลยทีเดียวไม่ได้ เพราะจะเกิดรอยด่างในจิตใจเขาชีวิตเขาเวลาเขาโตมา ถึงวันไหนพี่จะเหนื่อยมากๆ ถ้าเกิดเขามีคำถามอะไรที่มันเป็นคำถามลึกซึ้งพี่จะค่อยๆ นั่งคุยค่อยๆ นั่งพูดแล้วแล้ววางทุกสิ่งทุกอย่างไว้หมดเลยทั้งๆ ที่พี่อาจกำลังทำงานอยู่แล้วก็ค่อยๆ อธิบายให้เขาฟัง"
"นิยามของแม่เลี้ยงเดี่ยวจริงๆ แล้วมันชัดเจนในตัวของมันอยู่แล้วคือผู้ที่เลี้ยงบุตรมาด้วยตัวของตัวเองและกำลังทรัพย์ของตัวเองและการอบรมสั่งสอนของตัวเอง พอมันมีประเด็นอื่นเราไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเขานะแต่ว่าถ้าตามข่าวมันมีการช่วยเหลือซึ่งมันก็เลยกลายเป็นว่าสรุปแล้วแม่เลี้ยงเดี่ยวจะต้องเป็นยังไงหรอก็คือเกิดคำถามขึ้นในใจของคนมากกว่า แต่ว่าเราก็ไม่ได้ไปฉวยโอกาสในการที่คนอื่นเขาเป็นข่าวกัน แล้วเราก็มาฉวยโอกาสว่าหลงตัวเองว่าตัวเองเป็นคนที่ดี แต่พี่ก็อยากจะบอกว่าคือคนเราผิดพลาดได้แต่อย่าผิดพลาดนานและอย่าผิดพลาดซ้ำในเรื่องเดิมๆ แค่นั้นเองแล้ววันนึงเวลามันก็จะพิสูจน์ตัวของมันเองว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดแล้วเราก็สามารถทำมันออกมาได้ดีหน้าที่ของเรา เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ดีที่สุดที่เราจะเป็นได้"
"ใจต้องมาก่อนนะต้องเข้มแข็งให้ได้นะมันไม่มีใครในโลกนี้หรอกที่จะเข้มแข็งตลอดเวลาอยากร้องไห้ ฉันคนเดียว ฉันต้องเจอโน่นเจอนี่อะไรอย่างเนี่ย สิ่งที่แม่เลี้ยงเดี่ยวทั้งโลกต้องเจอคือการติฉินนินทา หนัก เหนื่อย มากมายปัญหารุมเร้าแล้วก็แอนรู้เพราะว่าแอนเข้าใจนะคะว่าคุณกำลังเจอกับอะไรอยู่มันคงไม่ใช่แค่เรื่องของการเลี้ยงลูกเท่านั้น มันอาจจะเป็นทั้งที่ทำงาน ครอบครัว วิกฤตเศรษฐกิจ สถานทางการเงิน สถานะทางจิตใจ ของเราที่เรายังไม่พร้อม"
"เชื่อเถอะค่ะคุณจะผ่านมันไปได้แน่ๆ ขอเวลาอีกแค่นิดเดียวเลี้ยงลูกให้ดี แอนเชื่อค่ะรอแค่ไม่กี่ปีแค่นั้นเองและคุณก็จะได้เห็นเมล็ดพันธุ์ลูกของคุณเจริญเติบโต ทำให้ลูกของคุณมีความสุขที่สุดทำให้เขาเป็นคนที่มีคุณภาพที่สุด เมื่อวันนึงที่แบบเราได้เห็นความสำเร็จของลูกเราแล้วเราจะนึกขอบคุณตัวเองว่าเราผ่านมันมาได้ วันนี้คุณอาจจะยังท้ออยู่นะ คุณอาจจะยังเหนื่อยอยู่นะแต่อ่านสัญญาค่ะว่าคุณจะผ่านมันไปได้แน่นอน"