จำเป็นต้องปิดต่อ! "อ่าวมาหยา" ทรัพยากรธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญ

จากกรณีที่กรมอุทยานฯ ประกาศปิดอ่าวมาหยามาตั้งแต่ 1 มิ.ย. – 30 ก.ย. 2561 รวม 4 เดือน เพื่อทำการฟื้นฟูสภาพของระบบนิเวศ ภายในอ่าวมาหยา ที่เกาะพีพี ล่าสุดทางกรมอุทยานฯ ได้มีการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาของกรมอุทยานฯ ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นถึงความเป็นห่วง และการรายงานผลทางวิชาการที่พบว่า ยังไม่เพียงพอต่อการฟื้นตัวของปะการัง และป่าปลูก

จึงมีประกาศเป็นทางการประกาศปิดอ่าวมาหยา จนกว่าจะมีการฟื้นคืนสู่ภาวะปกติแบบไม่มีกำหนด เนื่องจากได้ตระหนักถึงความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ เรื่อง การฟื้นฟูทรัพยากรในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี เพราะสภาพแวดล้อมหรือระบบนิเวศ ปะการัง และชายหาดบริเวณอ่าวมาหยา ยังไม่กลับคืนสภาพที่สมบูรณ์ หากเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามา อาจทำให้การฟื้นฟูในช่วงที่ผ่านมาไม่เห็นผลตามเป้าหมาย

ดร.ทรงธรรม สุขสว่าง ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีการประกาศปิดอ่าวมาหยาอย่างไม่มีกำหนด ว่า เป็นมติของคณะกรรมการที่เห็นแล้วว่าทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะแนวปะการัง และหาดทราย ด้านหน้าอ่าวมาหยายังไม่ฟื้นตัว รวมถึงการฟื้นฟูปะการัง และท่าเรือบริเวณด้านหลังอ่าวที่จะใช้สำหรับขึ้นลง ยังไม่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งกรมอุทยานแห่งชาติฯ มีแผนที่จะลงพื้นที่ช่วงต้นสัปดาห์หน้า เพื่อติดตามความคืบหน้า พร้อมยอมรับว่าอาจจะกระทบกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว แต่ต้องให้ความสำคัญกับทรัพยากรธรรมชาติเป็นสำคัญ

ด้านดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า เรื่องการฟื้นฟูอ่าวมาหยา ต้องมองออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกในส่วนของการฟื้นฟู "ประการัง" ที่ขณะนี้กำลังไปได้สวยงามมาก เพราะแนวปะการังที่กำลังเจริญเติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้สภาพประการังค่อนข้างแย่ และตาย เพราะเรือที่เข้ามาจอดในอ่าวมีเป็นจำนวนมากจึงได้รับผลกระทบหนัก ส่วนที่ 2 ด้วยปริมาณนักน่องเที่ยวที่เข้ามาเป็นจำนวนมากขึ้นทุกปี ทำให้ระบบนิเวศ สภาพธรรมชาติ ป่าชายหาด จะดำเนินการแก้ไขปัญหาการพังทลายของเนินทรายหน้าชายหาด ที่ได้รับความเสียหาย ทำให้ในส่วนนี้ต้องมีการฟื้นฟูเช่นกัน โดยทางศูนย์วิจัยฯ ของกรมอุทยานแห่งชาติ จะเป็นผู้ดูแล ซึ่งก็เชื่อวา การฟื้นฟูนั้นอาจจะยังไม่เต็มที่ จึงมีการปิดอ่าวต่ออย่างไม่มีกำหนด