svasdssvasds

ผู้ผลิตเตือน โลกร้อนจะแทบจะปลูกกาแฟไม่ได้แล้ว ลูกค้าเตรียมจ่ายแพงขึ้นอีก

ผู้ผลิตเตือน โลกร้อนจะแทบจะปลูกกาแฟไม่ได้แล้ว ลูกค้าเตรียมจ่ายแพงขึ้นอีก

ภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นทุกปี กำลังส่งผลกระทบที่รุนแรงขึ้นต่อผลผลิตเมล็ดกาแฟทั่วโลก จนบริษัทผู้ผลิตต้องออกมาเตือนว่าผู้บริโภคอาจต้องแบกรับราคากาแฟที่แพงขึ้น

จากรายงานของ Inside Climate News ระบุว่า ราคาของกาแฟได้พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เนื่องจากผลกระทบของภัยแล้งที่คุกคามแหล่งปลูกกาแฟทั่วโลกซึ่งกำลังจะทวีความรุนแรงขึ้นอีกหลังจากนี้

ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือสถานการณ์ของบราซิลและเวียดนาม สองประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดในโลก ที่ต้องเผชิญกับภัยแล้งครั้งเลวร้ายตลอดปี 2567 ส่งผลให้ผลผลิตเมล็ดกาแฟลดลงอย่างมาก ทำให้ราคาของผลผลิตที่เหลืออยู่ก็เพิ่มสูงขึ้น 

ผู้ผลิตเตือน โลกร้อนจะแทบจะปลูกกาแฟไม่ได้แล้ว ลูกค้าเตรียมจ่ายแพงขึ้นอีก

ไม่ใช่เพียงผู้บริโภคกาแฟทั่วโลกที่ต้องเดือดร้อน แต่รวมไปถึงผู้ผลิตกาแฟรายย่อยและร้านกาแฟอีกหลายแห่งที่ต้องดิ้นรนฝ่าฟันวิกฤติ ขณะที่หลายรายทนไม่ไหวจนต้องปิดกิจการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบลูกโซ่ให้เกิดการว่างงานในพื้นที่ที่มีประชากรยากจนอยู่แล้ว และเศรษฐกิจท้องถิ่นหลายแห่งก็มีรายได้ลดลง

ผู้ผลิตเตือน โลกร้อนจะแทบจะปลูกกาแฟไม่ได้แล้ว ลูกค้าเตรียมจ่ายแพงขึ้นอีก

เราแก้ปัญหากาแฟแพงได้อย่างไรบ้าง

แม้ว่าบราซิลและเวียดนามจะอยู่ห่างไกลจากเรามาก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกการกระทำของพวกเราก็ส่งผลต่อวิกฤติสภาพอากาศในบราซิลและอีกหลายพื้นที่ทั่วโลก เช่น การสร้างมลพิษที่ทำให้โลกร้อน ได้ส่งผลให้ภาวะแห้งแล้งในหลายประเทศนั้นยาวนาน รุนแรง และถี่ขึ้นเรื่อยๆ

นั่นหมายว่าเราก็ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น การลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ในครัวเรือน ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ลดการสร้างขยะพลาสติกอย่างจริงจัง ก็สามารถช่วยจำกัดปริมาณมลพิษที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศได้ ทำให้ภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศเลวร้ายน้อยลง และสิ่งสำคัญคือการผลักดันให้รัฐบาลและอุตสาหกรรมทั่วโลกให้ความสำคัญกับมาตรการเหล่านี้ด้วย