น่าพิศวง หลัง ExxonMobil ผู้ผลิตชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่ของสหรัฐฯออกมาเผยว่า พวกเขารู้นานแล้วว่าโลกกำลังร้อนขึ้น และภาวะโลกร้อนเริ่มเกิดขึ้นเมื่อราว ๆ 40 ปีที่แล้ว
เป็นเรื่องที่ชวนงงและชวนสงสัยแต่อะไรก็คงเป็นไปได้แหละมั้ง กับการที่ธุรกิจผู้ผลิตน้ำมันจากเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่ในอเมริกาอย่าง ExxonMobil ออกมาบอกว่าตนเองนั้น เข้าใจดีและได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องภาวะโลกร้อนมาตลอดและพวกเขาก็รู้ด้วยว่ามันกำลังรุนแรงขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ ในอนาคต แต่ที่น่าพิศวงสำหรับเรื่องนี้คือ ในฐานะผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่ยังคงสนับสนุนการขุดใช้พลังงานฟอสซิลที่คนทั่วโลกกำลังแบนนั้น พวกเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ จะหาแนวทางแก้ไขรึเปล่า สปริงนิวส์ในคอลัมน์ Keep The World จะสรุปให้
บางคนอาจได้ยินชื่อของ ExxonMobil ในช่วงนี้ไปบ้าง เพราะได้ไปเกี่ยวข้องกับข่าวใหญ่ของไทยอย่างการควบซื้อกิจการเอสโซ่ของบางจากฯ ซึ่งเอสโซ่ได้มีหุ้นสามัญอยู่ใน ExxonMobil Asia Holdings Pte.Ltd. ดังนั้นเอสโซ่จึงอยู่ภายใต้ ExxonMobil ด้วย
Exxon หันมาสนใจงานวิจัยเรื่องโลกร้อนได้ยังไง?
เอ็กซอนโมบิล (ExxonMobil) เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านน้ำมันที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลเยอะเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก พวกเขากล่าวอ้างว่า งานวิจัยที่พวกเขาสนับสนุนและทำขึ้นมานั้น "สามารถทำนายภาวะโลกร้อนได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ" ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ได้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Science เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2023 ที่ผ่านมา โดยเผยว่า
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 บริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาเผยว่าพวกเขารับรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่าใคร และก็รู้ด้วยว่าการปล่อยมลพิษเหล่านี้จะเป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจของตน ซึ่งก็คือการขายเชื้อเพลิงฟอสซิลในเวลาอันใกล้ ดังนั้น พวกเขาเลยทุ่มเงินกว่า 900,000 ดอลลาร์ต่อปีกับการวิจัยเพื่อศึกษาผลกระทบของการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล และก็ได้เปลี่ยนโฉมเรือบรรทุกน้ำมันเป็นเรือวิจัยแทน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บางจากฯ มั่นใจสร้างรายได้เพิ่มภายใน 2 ปี หลังรีแบรนด์ เอสโซ่
ข่าวดี! ชั้นโอโซนโลกกำลังฟื้นตัว พิธีสารมอนทรีออลกำลังไปได้สวย
อังกฤษ ต้อง เจอสภาพอากาศร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ ในปี 2022
ภัยพิบัติสภาพอากาศจากทั่วโลกช่วงปีใหม่ 2023 สะท้อนปัญหา Climate Change
Exxon ได้ส่งเรือลำนี้เดินทางไกลรอบมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อค้นคว้าว่ามหาสมุทรดูดซับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้อาจสัมพันธ์กับข่าวที่ว่า ในปี 2022 มหาสมุทรทั่วโลกมีอุณหภูมิสูงสุดทุบสถิติโลกไปแล้วก็ได้
แต่แล้ว ในปี 1982 บริษัทหันไปใช้วิธีที่ถูกกว่าเพื่อประหยัดงบด้วยการสั่งนักวิทยาศาสตร์สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อคำนวนระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชิวตในทศวรรษต่อ ๆ ไปอย่างไรแทนและผลลัพธ์ที่ออกมาก็ตรงจนน่าขนลุก นักวิทยาศาสตร์กล่าว
เรื่องนี้นักวิจัยจาก Harvard University และ University of Potsdam ในเยอรมนีก็ออกมาช่วยยืนยันด้วยว่า การประมาณการของ Exxon ในช่วงปี 1977-2003 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าแม่นยำพอ ๆ กับนักวิชาการอิสระและนักวิทยศ่าสตร์ของรัฐบาลเลย
จากการตรวจสอบและการเทียบเคียง เราพบว่าข้อมูลของงานวิจัย Exxon นั้นตรงกับอุณหภูมิที่เกิดขึ้นจริง ส่วนหนึ่งของการก่อเกิดงานวิจัยชิ้นนี้คือการกดดันจากสังคม ที่ต้องการให้บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ต้องควบคุมมลพิษจากคาร์บอนและเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานจากลมและแสงแดด
ที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นที่พ่วงการเป็นนักเคลื่อนไหวซึ่งนั่งอยู่ในบริษัท ExxonMobil ก็ได้พยายามปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับวิกฤตสภาพอากาศและนั่นก็ทำให้พวกเขาเดินทางมาถึงวันนี้
เมื่อรู้แล้ว Exxon ทำอย่างไร?
สิ่งที่น่าสงสัยที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ เมื่อรู้ต้นเหตุนานแล้ว ทำไมยังคงดำเนินธุรกิจต่อไป ในตอนต้นของทศวรรษ 1980 นักวิทยาศาสตร์ที่ Exxon จ้างไปทำงานวิจัยได้เตือนว่า "การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะนำไปสู่หายนะและแก้ไขไม่ได้" แต่ผลที่ตามมาคือ ตั้งแต่ปี 1989 Exxon ก็ปฏิเสธการค้นคว้าของตนเองต่อสาธารณชน ผู้นำของบริษัทที่ไม่ได้เปิดเผยว่าตอนนั้นเป็นใครตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ และเย้ยหยันแบบจำลอง พร้อมย้ำว่า พวกเขาหมกมุ่นกับความไม่แน่นอน
การเมินเฉยต่อวิทยาศาสตร์ที่นำไปสู่การฟ้องร้อง
การเมินเฉยในครั้งนั้นนำไปสู่การฟ้องร้องหลายสิบคดีในช่วงไม่กี่ปีมานี้ และงานวิจัย Exxon ชิ้นนี้เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่เมืองและรัฐต่าง ๆ พยายามเรียกร้องให้บริษัทและรัฐบาลรับผิดชอบต่อความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แม้ว่าจนถึงตอนนี้ ผู้ฟ้องยังคงล้มเหลวในการบังคับให้บริษัทเหล่านี้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง
ท่าทีต่อสาธารณะของ Exxon ยังคงเป็นปฏิปักษ์ต่อการอภิปรายในที่สาธารณะเกี่ยวกับงานวิจัยเดียวกันนั้น ทีมผู้นำและการตลาดของบริษัททำงานเพื่อสร้างความสับสนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ จนทำให้ในปี 2001 ExxonMobil ได้แจกข่าวประชาสัมพันธ์เพื่อแย้งว่า พวกเขาไม่มีฉันทามติเกี่ยวกับแนวโน้มสภาพภูมิอากาศในระยะยาว ผ่านโฆษณาของ New York Times
อีกทั้งในปี 2004 ExxonMobil ก็ได้ระบุเพิ่มอีกว่า ความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์แบบนี้จะฉุดรั้งความสามารถของพวกเขาในการกำหนดวัตถุประสงค์และบทบาทของมนุษย์ที่มีต่อรายงานการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศล่าสุด
Lee Raymond ซึ่งขณะนั้นเป็น CEO ของ ExxonMobil กล่าวโทษจุดดับบนดวงอาทิตย์และการโยกเยกของโลกว่าเป็นต้นเหตุของภาวะโลกร้อนในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ PBS โดยอ้างว่านักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่ามนุษย์มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือไม่
เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร?
ในปี 2019 คำตัดสินของผู้พิพากษากล่าวว่า อัยการสูงสุดแห่งรัฐนิวยอร์กซึ่งเป็นโจทก์นั้นไม่แสดงหลักฐานเพียงพอว่า Exxon ละเมิดกฎหมายโดยทำให้ผู้ถือหุ้นเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ในปีนั้นผู้พิพากษาตัดสินให้คดีของ Exxon เป็นคดีฉ้อโกง ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังลงความเห็นว่า Exxon พยายามใช้วาทศิลป์ที่ละเอียดอ่อนเพื่อเบี่ยงเบียนและเปลี่ยนโทษสำหรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศออกไป และพวกเขาก็ทำสำเร็จในฐานะผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล นักวิทยาศาสตร์ยังเสริมอีกว่า กลยุทธ์ของ Exxon คือการเน้นย้ำว่านโยบายด้านสภาพอากาศอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ โดยไม่สนใจต้นทุนมหาศาลที่พวกเขากำลังใช้และไม่สามารถควบคุมการปล่อยมลพิษได้
สุดท้ายนี้ การที่งานวิจัยชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะได้ แสดงว่ากลุ่มนักวิจัยน่าจะใช้ความกล้าหาญอย่างมากพอสมควรในการนำงานวิจัยออกมาสู่สายตาชาวโลก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรายังไม่อาจรู้ได้ว่าการเปิดโปงในครั้งนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป เป็นจริงดังที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวหรือไม่ คงต้องรอฟังการชี้แจงจากทางฝั่ง Exxon ด้วยว่าเป็นอย่างไร คุณล่ะคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้?
ที่มาข้อมูล
photo by Mark Kerrison/In Pictures via Getty Images