องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยเชื้อโควิด 19 ที่ระบาดในอินเดีย เกิดจากการกลายพันธุ์ ส่งผลให้มีการแพร่ระบาดมากขึ้น ส่วนไทยมีคำเตือนให้เฝ้าระวังเชื้อตัวนี้
องค์การอนามัยโลก (WHO) มีการเปิดเผยว่า เชื้อโควิดสายพันธุ์ B.1.617 ซึ่งเกิดขึ้นและระบาดอยู่ในอินเดีย อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดมากขึ้น หรือแม้กระทั่งลดทอนตัวลบล้างฤทธิ์ เหตุจากการกลายพันธุ์ที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเชื้อโควิดชนิดนี้
ทั้งนี้ คุณ มาเรีย แวน เคอร์โคฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคโรคโควิด19 ขององค์การอนามัยโลก เผยว่ากลุ่มศึกษาจีโนมเชื้อโรคโควิด19 แห่งอินเดีย (INSACOG) เปิดเผยว่า เชื้อ B.1.617 ปรากฏครั้งแรกในอินเดียเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2020 โดยมีการกลายพันธุ์ลักษณะเฉพาะ 2 ตำแหน่ง ได้แก่ E484Q และ L452R ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบในสายพันธุ์ไวรัสที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า เชื้อโควิด B.1.617 กำลังแพร่กระจายไปยังหลายประเทศ และมีรายงานการตรวจพบทั่ว “เอเชียและอเมริกาเหนือ”
ด้าน ดร.ชาฮิด จามีล นักไวรัสวิทยา อธิบายว่า การกลายพันธุ์ 2 แบบในตำแหน่งสำคัญที่โปรตีนหนาม (spike protein) ซึ่งเชื้อไวรัสใช้ในการเข้าสู่เซลล์ร่างกายคนเรานั้น ...อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ว่านี้และทำให้เชื้อสามารถหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันได้
ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขอินเดียก็ออกมาเตือนในวันเดียวกับ WHO โดยระบุว่า โควิดกลายพันธุ์คู่ในอินเดียตัวนี้ อาจทำให้อัตราการติดเชื้อโควิดในอินเดีย สูงขึ้นอีก และอาจมีความสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วย ท่ามกลางสถานการณ์ระบาดในอินเดีย ที่รุนแรงที่สุดในโลกในขณะนี้ หลังเกิดการระบาดรอบ 2 และผู้ติดเชื้อรายวันล่าสุด ทะลุ 233,000 คนในวันเดียว ทุบสถิติใหม่เป็นครั้งที่ 11
นอกจากนี้ WHO ยังระบุสิ่งที่น่ากังวลว่า การกลายพันธุ์ใน 2 ตำแหน่งข้างต้น ที่พบในโควิดกลายพันธุ์คู่ของอินเดียนี้ ทางนักวิทยาศาสตร์นอกอินเดีย ก็ตรวจพบการกลายพันธุ์คู่นี้ในโควิดกลายพันธุ์ตัวอื่น ๆ อีกหลายตัวทั่วโลกด้วย ซึ่งทำ ให้โควิดกลายพันธุ์คู่เหล่านั้น มีคุณสมบัติติดต่อได้ง่ายขึ้นและลดประสิทธิภาพของวัคซีนลง
ทั้งนี้ โควิดกลายพันธุ์คู่ที่พบครั้งแรกในอินเดียนี้ WHO ระบุว่า เป็นเพียงหนึ่งในไวรัสโควิดกลายพันธุ์หลายตัว ที่ WHO กำลังติดตามตรวจสอบอยู่เท่านั้น นั่นหมายความว่า โควิดกลายพันธุ์คู่ตัวนี้ ยังไม่ได้เป็นเหตุผลให้ WHO ต้องเพิ่มมาตรการด้านสาธารณสุขให้เข้มงวดขึ้นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของวัคซีนนั้น ในปัจจุบันพบว่าวัคซีนที่มีอยู่ยังมีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อโรคโควิด19 กลายพันธุ์ชนิดต่าง ๆ ที่พบในขณะนี้ได้ แม้บางครั้งอาจจะมีประสิทธิภาพน้อยลงเมื่อเทียบกับเชื้อโควิดชนิดดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่าหากจำเป็น ก็อาจดัดแปลงวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อให้สามารถจัดการกับเชื้อกลายพันธุ์ชนิดใหม่ๆได้
ทั้งนี้ ในอินเดีย มีเทศกาลอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ "กุมภเมลา" โดยทางการเมืองหริทวาร ระบุว่า มีผู้ติดเชื้อโควิดไปแล้ว รวมกว่า 2 ล้านคน นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ซึ่งเป็นวันแรกของเทศกาลกุมภเมลา จนถึงวันที่ 16 เมษายน และมีผู้แสวงบุญติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ B.1.617 จากการเข้าร่วมงานกุมภเมลาแล้ว กว่า 2,100 คนในสัปดาห์นี้ จากผลการตรวจเชื้อโควิดแบบสุ่มตรวจ
ทั้งนี้ เทศกาลกุมภเมลาอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ในแม่น้ำคงคา เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน และมีกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายนนี้ และคาดว่าจะเป็นแหล่งซูเปอร์สเปรดเดอร์ครั้งใหญ่ของอินเดีย
ส่วนสายพันธุ์อินเดียที่เป็นข่าวกลายพันธุ์ พบมีการกลายพันธุ์ใน 2 จุด แต่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ ซึ่งที่อินเดียมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นหลายแสนคน เนื่องมาจากการกลายพันธุ์นี้หรือไม่ ยังคงไม่มีข้อสรุปชัดเจน ส่วนที่ว่าการกลายพันธุ์นี้จะทำให้เชื้อโควิดรุนแรงขึ้นหรือไม่ เสียชีวิตได้ง่ายขึ้นหรือไม่ ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน รวมทั้งวัคซีนที่ใช้กันอยู่สามารถป้องกันสายพันธุ์นี้หรือไม่ ก็ยังไม่มีคำตอบเช่นกัน ยังต้องติดตามข้อมูลต่อไป
ทั้งนี้ ในอินเดีย สถานการณ์โควิด19 ถือว่าวิกฤตเพราะ มีผู้ติดเชื้อ 200,000 คนต่อวัน ติดต่อกันมา 3 วันแล้ว โดยที่อินเดียยอดสะสมผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นเป็น 14.3 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 175,000 รายแล้ว
ขณะเดียวกัน ในประเทศไทย มีการเตือนให้ระวังเชื้อโควิด19 จากอินเดีย โดย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงกรณีที่มีการตรวจหาภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว แต่ปรากฏว่าภูมิไม่ขึ้นว่า การตรวจด้วยชุดตรวจเร่งด่วนไม่มีความแม่นยำเท่ากับการตรวจในห้องปฏิบัติการที่ต้องเป็นระดับ 3 และต้องตรวจสไปรท์โปรตีน ไม่ใช่ตรวจที่ตัวปลอกหุ้ม โดยมีวิธีตรวจมาตรฐานพีอาร์เอ็นที ซึ่งซับซ้อน โดยจะมีการเก็บข้อมูลในคนไทยที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว เพื่อศึกษาวิจัย
ขณะเดียวกัน ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสรตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยืนยันว่า วัคซีนที่ไทยมีอยู่สามารถสร้างภูมิคุ้มกัน "โควิด19" สายพันธุ์อังกฤษได้ แต่สิ่งที่กลัวมากที่สุด คือวัคซีนใช้ไม่ได้ผลกับสายพันธุ์อินเดีย
"มันเป็นเพียงข้อมูลในหลอดทดลองว่าเมื่อมีการเพาะเข้าไปในเซลล์เพาะเลี้ยงดูว่าจะมีการติดเชื้อได้เร็วกว่าธรรมดา และดูโครงสร้างที่มันผันแปรไปนั้นจะเกราะติดกับเซล์มนุษย์ได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นไม่อยากให้กังวลกับไวรัสสายพันธุ์อังกฤษมาก เพราะวัคซีนที่ใช้ในขณะนี้สามารถกำราบสายพันธุ์อังกฤษได้ แต่ว่าสิ่งที่เราไม่ชอบ คือไวรัสของอินเดียและฟิลิปปินส์" ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา เผย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• ชาติแรก! อิสราเอลยกเลิกใส่หน้ากากในที่สาธาณะ หลังสร้างภูมิคุ้มกันหมู่
• 500,000+ คนที่ได้วัคซีนเข็มแรก เช็คชื่อได้แล้วในระบบ ‘หมอพร้อม’