Netflix ปรับเปลี่ยนกฎใหม่ ปราบสายหาร ห้ามแยกบ้านดู และขึ้นราคา จนเกิดกระแส Cancel แต่ยังทำยอดสมาชิกสูงเป็นประวัติการณ์!
เร็วๆ นี้ กระแสความไม่พอใจของ Netflix จะกลับมาอีกครั้ง เนื่องจาก สตรีมมิ่งเจ้าใหญ่รายนี้มีการใช้ระบบ Paid Sharing จนทำให้ผู้ใช้ในระบบการแชร์รหัส หรือแชร์บัญชี ไม่สามารถรับชม ผ่านอุปกรณ์เสริมได้
กรณีดังกล่าวทำให้ผู้ที่รับชม Netflix ผ่านอุปกรณ์เสริมคนละพื้นที่กับจุดรับชมหลัก ต้องซื้อค่าบริการเพิ่ม แบบ Extra Member ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้ จนถึงขั้นเกิดกระแส Cancel กันในโซเชียลเลยทีเดียว และ #NetflixTH ยังติดเทรนด์บน X อีกด้วย
แต่ถึงแม้จะเผชิญกับกระแส Cancel สักกี่ครั้ง เชื่อหรือไม่ว่า Netflix ก็ยังคงได้กำไรต่อเนื่อง และมีอัตราการยกเลิกสมาชิกของน้อยกว่าบริการสตรีมมิ่งคู่แข่งรายอื่นๆ จึงทำให้ Netflix ยังคงยืนหนึ่งในวงการ แม้จะผ่านดราม่ามาหลายครั้งก็ตาม
มาดูกันดีกว่าว่า ด้วยเหตุใด Netflix ถึงไม่เคยเสียแชมป์ และยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
Netflix กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ดูเหมือนเป็นเวลากว่าหนึ่งทศวรรษแล้วที่ Netflix ยังคงเติบโตไม่หยุด และชื่อของบริษัทก็กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วโลกนึกถึงเมื่อพูดถึงการสตรีมมิ่ง และยังสร้างมาตรฐานระดับสูงให้กับส่วนที่เหลือของอุตสาหกรรมเดียวกัน เนื่องจาก Netflix สร้างจุดขายด้วยการมี Original Content จำนวนมากไว้ดึงดูดลูกค้า จนทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทขึ้นสู่จุดสูงสุดมากกว่า 300 พันล้านดอลลาร์ในปี 2564
แต่เหตุการณ์ก็พลิกผัน เมื่อ Netflix ต้องสูญเสียสมาชิกถึง 1.6 ล้านรายในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 ซึ่งกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ทำให้ Netflix ต้องหามาตรการแก้ไขอย่างรวดเร็วเพื่อให้นักลงทุนพอใจ ซึ่งในปีนั้น Netflix ก็ตัดสินใจในสิ่งที่ “รีด ฮาสติงส์ (Reed Hastings)” ผู้ร่วมก่อตั้งปฏิเสธมาตลอด นั่นคือเปิดตัวแพ็กเกจที่มีราคาถูกลง แต่แลกกับมีโฆษณาคั่น เพื่อโกยให้คนมาใช้บริการมากขึ้น พร้อมกับรับเงินจากบริษัทโฆษณาไปด้วย
แม้จะมีกระแสวิจารณ์ทางด้านลบ แต่สุดท้ายแพ็กเกจที่มีโฆษณาก็ดึงดูดสมาชิกมาเพิ่มได้ 5 ล้านคน และแพ็กเกจที่ดังกล่าวเป็นหนึ่งในระดับที่ได้รับความนิยมมากที่สุดบน Netflix เพราะลูกค้ายอมเลือกแพ็กเกจที่ถูกกว่า แม้จะต้องแลกมากับความไม่สะดวกเล็กน้อย
ต่อมาไม่นาน Netflix ก็ทำตามแผนขั้นต่อไป โดยเพิ่มแพ็กเกจที่รับชมได้ชัดสุด 1080p และ ซึ่งถูกว่าแพ็กเกจ 4K+HDR ทว่าแผนการที่จะพลิกฐานสมาชิกให้กลับมาเยอะขึ้นของ Netflix ไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น
ต่อมาในปี 2566 Netflix ก้าวไปอีกขั้นด้วยการปราบบัญชีที่มีการแชร์รหัสผ่าน ซึ่งนโยบายนี้สร้างปัญหาให้กับผู้ใช้ทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่มีการแสดงความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “Netflix ฉลาดตรงที่ทำให้คนติดใจ จากนั้นจึงถือโอกาสขึ้นราคา!” ส่วนผู้ใช้บริการในไทยจำนวนมาก ก็มีการหยิบยกเหตุผลว่า “อยู่คนละบ้านกับคนในครอบครัว” จึงมีความยุ่งยากในการรับชม และมีกระแส “Cancel Netflix” เกิดขึ้นในโลกโซเชียล
แต่ไม่ว่ากระแสจะเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากปราบปรามการแชร์รหัสผ่านได้สำเร็จ Netflix เผยว่ามีการสมัครเป็นสมาชิกเพิ่ม มากกว่าจำนวนที่ยกเลิกไป ซึ่งทำให้ Netflix มีรายได้เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย และบริษัทสตรีมมิ่งเบอร์หนึ่งนี้ยังรุดไปข้างหน้าต่อไป ด้วยการขึ้นราคาแพ็กเกจพรีเมียมแบบไม่มีโฆษณาอีกครั้งในเดือน ตุลาคม 2566 ซึ่งเริ่มใช้ไปก่อนใน 3 ประเทศ ได้แก่
สหรัฐอเมริกา จาก 19.99 USD เป็น 22.99 USD
สหราชอาณาจักร 15.99 Pound เป็น 17.99 Pound
ฝรั่งเศส 17.99 EUR เป็น 19.99 EUR
นอกจากขึ้นราคาแล้ว Netflix ยังเตรียมหยุดให้บริการแพ็กเกจแบบราคาถูกที่มีโฆษณา ในปี 2567 ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ และถือเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่บีบให้ผู้ใช้บริการต้องขยับมาสมัคร แพ็กเกจสูงขึ้นอย่างไม่มีทางเลือกซึ่งนักวิเคราะห์จำนวนมากก็มองว่า นี่จะทำให้ Netflix มีกำไรมากขึ้นไปอีก
และ ณ เวลานี้ ผลลัพธ์ก็เป็นดั่งที่หลายฝ่ายคาดการณ์ เพราะวันที่ 24 ม.ค. 67 ที่ผ่านมา สเปนเซอร์ นูแมนน์ (Spencer Neumann) ประธานฝ่ายการเงินของ Netflix ได้ออกมาเปิดเผยว่า ไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 มียอดสมัครสมาชิกเพิ่มขึ้น ทั่วโลกสูงถึง 13 ล้านคน ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์จาก Wall Street คาดการณ์ไว้มาก
และทำให้ Netflix มีรายได้ในช่วงนั้นสูงถึง 1 ร้อยล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.5 พันล้านบาท) ซึ่งทำให้ Netflix พุ่งแซงหน้าบริการสตรีมมิ่งเจ้าอื่นไปไกล
การเปลี่ยนแปลงครั้งต่างๆ ทำให้ Netflix แตกต่างจากที่เรารู้จักในช่วงแรกที่เปิดให้บริการมาก และ Netflix ก็ไม่ได้กังวลกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ ส่วนหนึ่งอาจมาจากสงครามสตรีมมิ่งที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดมากขึ้น จึงทำให้ Netflix จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าพวกเขาเหนือกว่าคู่แข่ง และทุกครอบครัวจำเป็นต้องมีครอบครองเอาไว้ แม้จะเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นก็ตาม
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ จึงสรุปได้ว่า แม้ระบบ Paid Sharing จะทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกโกรธเคืองในช่วงแรก แต่สุดท้ายพวกเขาจะกลับมา ทั้งในแบบสมัครแพ็กเกจราคาถูกที่มีโฆษณา แพ็กเกจมาตรฐาน 1080p ไปจนถึง แพ็กเกจพรีเมียม ที่ดูแบบ 4 k ได้ ซึ่ง Netflix ก็พร้อมปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ได้ทุกเมื่อ โดยไม่หวั่นเกรงแม้จะต้องเผชิญกับกระแส Cancel ก็ตาม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง